เทสโทสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)
ฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดของเพศชาย จะไปกระตุ้นให้แสดงลักษณะความเป็นเพศชายออกมา ทำให้ผู้ชายมีรูปร่างลักษณะ อารมณ์ นิสัย ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากสาว ๆ ไม่ว่าจะเป็น... การมีเสียงทุ้มใหญ่ มีหนวด มีเครา ขนตามร่างกาย ศีรษะล้าน การสร้างเชื้ออสุจิ ลักษณะกล้ามเนื้อ และกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง ทำให้ผู้ชายมีนิสัยชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ รักสนุก ชอบความท้าทาย ในบางช่วงฮอร์โมนนี้ก็ยังทำให้ผู้ชายรู้สึกเครียด วิตกกังวล หดหู่ได้มากกว่าปกติเช่นกัน ทำให้สนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น คิดถึงเรื่องเพศ มีความต้องการทางเพศ ชอบเรื่องเซ็กส์
ร่างกายบางคนผลิตเทสโทสเตอโรนออกมาสูง บางคนมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งผู้ที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยเกินไป อาจรู้สึกว่าตัวเองมีความต้องการทางเพศลดลง ปริมาณอสุจิมีน้อย อวัยวะเพศชายแข็งตัวไม่สมบูรณ์ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความสมบูรณ์ของร่างกายไป ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง และนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากมีฮอร์โมนในระดับเหมาะสม จะช่วยให้มีน้ำหนักตัวพอเหมาะ มีมวลกล้ามเนื้อ
ดังนั้น เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คุณหนุ่ม ๆ ควรรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไว้ไม่ให้ต่ำเกินไป ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยมีผลการวิจัยค้นพบว่า การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Strength training) เพื่อเสริมกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ยกน้ำหนัก ยกเวท มีผลทำให้เทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นได้ด้วย
นอกจากนี้ เรายังสามารถกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีสังกะสีอย่างเพียงพอ คือวันละ 15-25 มิลลิกรัม พบมากในอาหารทะเล ตับ เนื้อวัว ผักสีเขียวเข้ม และผลไม้ เช่น แตงโม เมล็ดทานตะวัน ยิ่งถ้าได้รับวิตามินจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากใน แครอท แคนตาลูป ส้ม มะเขือเทศ มะละกอสุก มะม่วงสุก และฟักทอง จะช่วยเสริมสร้างกันได้ดียิ่งขึ้น
ในเพศหญิงก็มีการสร้างเทสโตสเตอโรนออกมาด้วย แต่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ชายมาก ทำให้ไม่สามารถแสดงลักษณะของเพศชายให้เด่นออกมาได้ ยกเว้นผู้หญิงบางคนที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง ก็อาจจะมีเสียงห้าวกว่าผู้หญิงทั่วไป มีขนดก มีนิสัยห่าม ๆ กล้าหาญ คล้ายผู้ชายได้เหมือนกัน
ฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดของเพศชาย จะไปกระตุ้นให้แสดงลักษณะความเป็นเพศชายออกมา ทำให้ผู้ชายมีรูปร่างลักษณะ อารมณ์ นิสัย ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากสาว ๆ ไม่ว่าจะเป็น... การมีเสียงทุ้มใหญ่ มีหนวด มีเครา ขนตามร่างกาย ศีรษะล้าน การสร้างเชื้ออสุจิ ลักษณะกล้ามเนื้อ และกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง ทำให้ผู้ชายมีนิสัยชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ รักสนุก ชอบความท้าทาย ในบางช่วงฮอร์โมนนี้ก็ยังทำให้ผู้ชายรู้สึกเครียด วิตกกังวล หดหู่ได้มากกว่าปกติเช่นกัน ทำให้สนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น คิดถึงเรื่องเพศ มีความต้องการทางเพศ ชอบเรื่องเซ็กส์
ร่างกายบางคนผลิตเทสโทสเตอโรนออกมาสูง บางคนมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งผู้ที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยเกินไป อาจรู้สึกว่าตัวเองมีความต้องการทางเพศลดลง ปริมาณอสุจิมีน้อย อวัยวะเพศชายแข็งตัวไม่สมบูรณ์ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความสมบูรณ์ของร่างกายไป ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง และนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากมีฮอร์โมนในระดับเหมาะสม จะช่วยให้มีน้ำหนักตัวพอเหมาะ มีมวลกล้ามเนื้อ
ดังนั้น เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คุณหนุ่ม ๆ ควรรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไว้ไม่ให้ต่ำเกินไป ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยมีผลการวิจัยค้นพบว่า การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Strength training) เพื่อเสริมกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ยกน้ำหนัก ยกเวท มีผลทำให้เทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นได้ด้วย
นอกจากนี้ เรายังสามารถกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีสังกะสีอย่างเพียงพอ คือวันละ 15-25 มิลลิกรัม พบมากในอาหารทะเล ตับ เนื้อวัว ผักสีเขียวเข้ม และผลไม้ เช่น แตงโม เมล็ดทานตะวัน ยิ่งถ้าได้รับวิตามินจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากใน แครอท แคนตาลูป ส้ม มะเขือเทศ มะละกอสุก มะม่วงสุก และฟักทอง จะช่วยเสริมสร้างกันได้ดียิ่งขึ้น
ในเพศหญิงก็มีการสร้างเทสโตสเตอโรนออกมาด้วย แต่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ชายมาก ทำให้ไม่สามารถแสดงลักษณะของเพศชายให้เด่นออกมาได้ ยกเว้นผู้หญิงบางคนที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง ก็อาจจะมีเสียงห้าวกว่าผู้หญิงทั่วไป มีขนดก มีนิสัยห่าม ๆ กล้าหาญ คล้ายผู้ชายได้เหมือนกัน
เอสโตรเจน...ฮอร์โมนเพศหญิง
ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาจากรังไข่ แล้วกระจายไปตามกระแสเลือด ส่งต่อไปตามอวัยวะต่าง ๆ จึงส่งผลต่อรูปร่าง นิสัย อารมณ์ของเพศหญิง คือ ทำให้มีหน้าอก เต้านมเต่งตึง สะโพกผาย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยเสริมสร้างเซลล์ให้เจริญเติบโต ซ่อมแซมระบบสืบพันธุ์ รักษาสภาพผนังช่องคลอด ควบคุมเมือกในช่องคลอด เพื่อป้องกันการอักเสบ ทำให้ไข่ในรังไข่เจริญเติบโต ควบคุมการตกไข่ กระตุ้นการหนาตัวของเยื่อบุผนังมดลูกชั้นใน เพื่อรองรับการปฏิสนธิร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์อ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีไม่สม่ำเสมอ ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาตามรอบของประจำเดือน โดยช่วงที่มีเอสโตรเจนสูงจะเป็นช่วงหลังหมดประจำเดือน และระหว่างเตรียมการตกไข่ กินเวลาประมาณ 9-20 วัน เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายจะมีปริมาณน้อยลง หรือมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกหงุดหงิด ร้อนวูบวาบ หมดอารมณ์ทางเพศ หนาวสั่นง่าย และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ผิวแห้งเหี่ยวย่น มีริ้วรอย หน้าอกหย่อนยาน ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ คันช่องคลอด ผมร่วง ฯลฯ
เอสโตรเจนยังช่วยในเรื่องความจำ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล เป็นตัวช่วยไม่ให้เกิดเมือกไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยลดภาวะกระดูกพรุน และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ หากมีเอสโตรเจนมากเกินไป ก็จะทำให้ไขมันสะสมได้มากขึ้น ทำให้อ้วนง่าย อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย และเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
ถ้าใครมีเอสโตรเจนต่ำเกินไป ก็จะมีรูปร่างผอม ไร้ทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่องคลอดบางและหย่อนยาน มดลูกฝ่อลีบ เต้านมมีขนาดเล็กลง เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุนได้มาก เพราะสูญเสียแคลเซียมไปทีละน้อย
ในผู้หญิงวัยทองที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยลงก็ต้องหาวิธีเสริมฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยการทานอาหารอย่างน้ำมะม่วงสุก, น้ำมะพร้าวอ่อน, กุยช่าย หรือหากมีอาการวัยทองมาก ๆ แพทย์จะสั่งฮอร์โมนเสริมให้
ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาจากรังไข่ แล้วกระจายไปตามกระแสเลือด ส่งต่อไปตามอวัยวะต่าง ๆ จึงส่งผลต่อรูปร่าง นิสัย อารมณ์ของเพศหญิง คือ ทำให้มีหน้าอก เต้านมเต่งตึง สะโพกผาย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยเสริมสร้างเซลล์ให้เจริญเติบโต ซ่อมแซมระบบสืบพันธุ์ รักษาสภาพผนังช่องคลอด ควบคุมเมือกในช่องคลอด เพื่อป้องกันการอักเสบ ทำให้ไข่ในรังไข่เจริญเติบโต ควบคุมการตกไข่ กระตุ้นการหนาตัวของเยื่อบุผนังมดลูกชั้นใน เพื่อรองรับการปฏิสนธิร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์อ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีไม่สม่ำเสมอ ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาตามรอบของประจำเดือน โดยช่วงที่มีเอสโตรเจนสูงจะเป็นช่วงหลังหมดประจำเดือน และระหว่างเตรียมการตกไข่ กินเวลาประมาณ 9-20 วัน เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายจะมีปริมาณน้อยลง หรือมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกหงุดหงิด ร้อนวูบวาบ หมดอารมณ์ทางเพศ หนาวสั่นง่าย และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ผิวแห้งเหี่ยวย่น มีริ้วรอย หน้าอกหย่อนยาน ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ คันช่องคลอด ผมร่วง ฯลฯ
เอสโตรเจนยังช่วยในเรื่องความจำ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล เป็นตัวช่วยไม่ให้เกิดเมือกไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยลดภาวะกระดูกพรุน และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ หากมีเอสโตรเจนมากเกินไป ก็จะทำให้ไขมันสะสมได้มากขึ้น ทำให้อ้วนง่าย อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย และเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด
ถ้าใครมีเอสโตรเจนต่ำเกินไป ก็จะมีรูปร่างผอม ไร้ทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่องคลอดบางและหย่อนยาน มดลูกฝ่อลีบ เต้านมมีขนาดเล็กลง เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุนได้มาก เพราะสูญเสียแคลเซียมไปทีละน้อย
ในผู้หญิงวัยทองที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยลงก็ต้องหาวิธีเสริมฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยการทานอาหารอย่างน้ำมะม่วงสุก, น้ำมะพร้าวอ่อน, กุยช่าย หรือหากมีอาการวัยทองมาก ๆ แพทย์จะสั่งฮอร์โมนเสริมให้
โปรเจสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศหญิง (สำหรับสาวตั้งครรภ์)
Progesterone ฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญมาก ๆ โดยถูกสร้างขึ้นมาจากรังไข่ และรก ทำงานร่วมกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีหน้าที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกชั้นในหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์
Progesterone ฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญมาก ๆ โดยถูกสร้างขึ้นมาจากรังไข่ และรก ทำงานร่วมกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีหน้าที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกชั้นในหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์
โปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนยังช่วยกันควบคุมการตั้งครรภ์ในช่วงแรก ๆ เช่น ปรับสภาพเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดการฝังตัวได้ ช่วยสะสมไขมันให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ เพื่อให้มีพลังงาน และสารอาหารเลี้ยงทารก รวมทั้งช่วยทำให้เต้านมขยายใหญ่ขึ้น เพื่อเตรียมผลิตน้ำนมให้ลูกหลังคลอด นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ร่างกายหายใจเร็วขึ้น เพื่อสูดออกซิเจนเข้าปอดมาก ๆ จึงทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวดแข้งปวดขา เพราะฮอร์โมนจะไปทำให้กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อยืดขยายนั่นเอง
แต่หากในช่วงที่ไม่มีการตั้งครรภ์ โปรเจสเตอโรนก็จะไปสลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาขึ้น ให้หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนซึ่งระดับฮอร์โมนนี้ จะมีปริมาณสูงสุดประมาณวันที่ 21-23 ของรอบเดือน (หลังตกไข่ 1 สัปดาห์) จะลดลงต่ำสุดประมาณวันที่ 1-9 ของรอบเดือน
ช่วงที่มีโปรเจสเตอโรนสูง ช่วงนั้นจะมีสิวเห่อขึ้น เพราะโปรเจสเตอโรนที่หลั่งเพิ่มขึ้นไปทำให้เกิดการคั่งน้ำในร่างกาย จนทำให้รูขุมขนบวมมากขึ้น อีกทั้งยังหลั่งน้ำมันมาหล่อเลี้ยงผิวมากขึ้นจนเกิดการสะสมอุดตันตามใบหน้า
ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนออกมาไปจนถึงอายุ 50 ปีปลาย ๆ จากนั้น ฮอร์โมนจะเริ่มผลิตน้อยลง เข้าสู่ภาวะวัยทอง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการ เช่น นอนไม่หลับ เหงื่อออกง่าย ผิวแห้งเหี่ยว กระดูกพรุน ร้อนวูบวาบ น้ำหนักขึ้น ฯลฯ มักจะหงุดหงิดง่าย มีปัญหาเรื่องอารมณ์ เกิดความรู้สึกเบื่อ เซ็ง ซึมเศร้า
โดพามีน...ฮอร์โมนหนึ่งมิตรชิดใกล้
โดพามีน (Dopamine) ผลิตจากกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) ซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทไปกระตุ้นโดพามีน รีเซพเตอร์ (Dopamine Receptor) ในระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic nervous system) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ โดพามีนยังจัดเป็นนิวโรฮอร์โมน (Neurohormone) ที่หลั่งจากสมองส่วนไฮโปธาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งโปรแลคตินจากกลีบส่วนหน้าของต่อมใต้สมอง (ต่อมพิทูอิทารี) พร้อมกับเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งเป็นพัฒนาการสำคัญของคนกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาว
เมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมาแล้ว จะทำให้เรารู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ยิ่งมีการหลั่งสารนี้มาก คนนั้นก็จะมีความพอใจหรือมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย
โดพามีน (Dopamine) ผลิตจากกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) ซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทไปกระตุ้นโดพามีน รีเซพเตอร์ (Dopamine Receptor) ในระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic nervous system) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ โดพามีนยังจัดเป็นนิวโรฮอร์โมน (Neurohormone) ที่หลั่งจากสมองส่วนไฮโปธาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งโปรแลคตินจากกลีบส่วนหน้าของต่อมใต้สมอง (ต่อมพิทูอิทารี) พร้อมกับเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งเป็นพัฒนาการสำคัญของคนกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาว
เมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมาแล้ว จะทำให้เรารู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ยิ่งมีการหลั่งสารนี้มาก คนนั้นก็จะมีความพอใจหรือมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย
มีการจัดให้โดพามีนเป็นสารเคมีแห่งรัก หรือ Chemicals of love ซึ่งมีผู้เคยวิจัยออกมาแล้วว่า โดพามีนนี้มีผลเกี่ยวกับการเลือกคู่หรือจับคู่
หลาย ๆ คนอาจมีการหลั่งสารโดพามีนออกมาน้อยเกินไป หรือเซลล์สมองส่วนที่สร้างโดพามีนตาย พบได้ในผู้สูงอายุ จึงทำให้ผู้สูงอายุบางคนมีอาการทางระบบประสาท คือ โรคพาร์กินสัน มีอาการมือไม้สั่น เกร็ง เคลื่อนไหวช้า เพราะโดพามีนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
หากมีสารโดพามีนหลั่งออกมามากเกินไป ทำให้เป็นคนคิดเร็ว สมองมีการตอบสนองดี สั่งการเร็ว อาจทำให้เป็นคนหุนหันพลันแล่น ไฮเปอร์ หรือก้าวร้าวได้ และถ้ายิ่งมีมากจนเกินขีด อาจกลายเป็นคนหวาดระแวง บ้าคลั่ง มีอาการป่วยทางจิต เพราะสารนี้จะไปกระทบกับสมองส่วนฟรอนทัลที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ ความจำ จากการทดสอบผู้ป่วยโรคจิตเภทก็พบว่ามีสารโดพามีนในสมองมากกว่าคนปกติวิธีรักษาความสมดุลของโดพามีนก็คือ พยายามรับประทานอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง อาหารทะเล อัลมอนด์ เมล็ดธัญพืช กล้วย แอปเปิล เพราะโดพามีนผลิตมาจากกรดอะมิโนไทโรซีนที่มีในโปรตีน จะช่วยให้สมองมีพลัง ตื่นตัว รู้สึกกระฉับกระเฉง
หากมีสารโดพามีนหลั่งออกมามากเกินไป ทำให้เป็นคนคิดเร็ว สมองมีการตอบสนองดี สั่งการเร็ว อาจทำให้เป็นคนหุนหันพลันแล่น ไฮเปอร์ หรือก้าวร้าวได้ และถ้ายิ่งมีมากจนเกินขีด อาจกลายเป็นคนหวาดระแวง บ้าคลั่ง มีอาการป่วยทางจิต เพราะสารนี้จะไปกระทบกับสมองส่วนฟรอนทัลที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ ความจำ จากการทดสอบผู้ป่วยโรคจิตเภทก็พบว่ามีสารโดพามีนในสมองมากกว่าคนปกติวิธีรักษาความสมดุลของโดพามีนก็คือ พยายามรับประทานอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง อาหารทะเล อัลมอนด์ เมล็ดธัญพืช กล้วย แอปเปิล เพราะโดพามีนผลิตมาจากกรดอะมิโนไทโรซีนที่มีในโปรตีน จะช่วยให้สมองมีพลัง ตื่นตัว รู้สึกกระฉับกระเฉง
เอ็นดอร์ฟิน...ฮอร์โมนหลั่งเมื่อฉันฟิน(Endorphin)
ฮอร์โมนนี้ทำให้เรามีความสุข คลายเครียด เมื่อเรามีความสุขกายสบายใจ สารเอ็นดอร์ฟินจะหลั่งออกมามากขึ้น แล้วเข้าสู่กระแสเลือด จนสามารถไปกดการสร้างฮอร์โมนแห่งความเครียด เช่น นอร์เอพิเนฟริน ทำให้เรารู้สึกหายเครียด และยังเป็นผลให้ระดับภูมิคุ้มกัน (antibody) ในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย
เป็นยาระงับปวดตามธรรมชาติ ที่ต่อมใต้สมอง และไฮโปทาลามัสในกระดูกสันหลังสร้างขึ้นมาให้ออกฤทธิ์ไปยับยั้งและบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งการทำงานของเอ็นดอร์ฟินจะคล้าย ๆ กับการทำงานของยามอร์ฟีน (Morphine) ใช้ฉีดระงับความเจ็บปวดให้คนไข้ เอ็นดอร์ฟินยังควบคุมความรู้สึกหิว และเชื่อมโยงกับการผลิตฮอร์โมนเพศด้วย
อยากให้สารเอ็นดอร์ฟินหลั่งมาก ๆ ให้หมั่นออกกำลังกาย และออกไปรับแสงแดดในตอนเช้า จะช่วยกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินได้ อีกวิธีที่ง่ายก็คือ การหัวเราะ เพราะการวิจัยค้นพบว่า การหัวเราะ การยิ้ม การได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่เราพอใจจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้นด้วย หากร่างกายมีสารเอ็นดอร์ฟินมาก ๆ เราก็จะมีความสุข ไม่เครียด ระดับความดันโลหิตก็จะเป็นปกติ สุขภาพจิตดีแบบนี้ สุขภาพกายก็แข็งแรงแน่นอน
ฮอร์โมนนี้ทำให้เรามีความสุข คลายเครียด เมื่อเรามีความสุขกายสบายใจ สารเอ็นดอร์ฟินจะหลั่งออกมามากขึ้น แล้วเข้าสู่กระแสเลือด จนสามารถไปกดการสร้างฮอร์โมนแห่งความเครียด เช่น นอร์เอพิเนฟริน ทำให้เรารู้สึกหายเครียด และยังเป็นผลให้ระดับภูมิคุ้มกัน (antibody) ในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย
เป็นยาระงับปวดตามธรรมชาติ ที่ต่อมใต้สมอง และไฮโปทาลามัสในกระดูกสันหลังสร้างขึ้นมาให้ออกฤทธิ์ไปยับยั้งและบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งการทำงานของเอ็นดอร์ฟินจะคล้าย ๆ กับการทำงานของยามอร์ฟีน (Morphine) ใช้ฉีดระงับความเจ็บปวดให้คนไข้ เอ็นดอร์ฟินยังควบคุมความรู้สึกหิว และเชื่อมโยงกับการผลิตฮอร์โมนเพศด้วย
อยากให้สารเอ็นดอร์ฟินหลั่งมาก ๆ ให้หมั่นออกกำลังกาย และออกไปรับแสงแดดในตอนเช้า จะช่วยกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินได้ อีกวิธีที่ง่ายก็คือ การหัวเราะ เพราะการวิจัยค้นพบว่า การหัวเราะ การยิ้ม การได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่เราพอใจจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้นด้วย หากร่างกายมีสารเอ็นดอร์ฟินมาก ๆ เราก็จะมีความสุข ไม่เครียด ระดับความดันโลหิตก็จะเป็นปกติ สุขภาพจิตดีแบบนี้ สุขภาพกายก็แข็งแรงแน่นอน
คอร์ติซอล...ฮอร์โมนแห่งความเครียด (แถมโรคอ้วน)
Cortisol เป็นฮอร์โมนที่จะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรามีความเครียด แต่คอร์ติซอล ก็ถูกจัดเป็นฮอร์โมนที่จำเป็น (Essential Hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต หากขาดไปก็จะส่งผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย
สำหรับฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ถูกผลิตจากต่อมหมวกไต และจะถูกสร้างมากขึ้นในตอนเช้า เพื่อช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง และช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย เพื่อให้เราพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาระหว่างวัน ก่อนที่ระดับของฮอร์โมนจะค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งตกเย็น และนอนหลับไป
แต่หากระหว่างวันเราเกิดความเครียดขึ้นเมื่อใด ร่างกายก็จะยิ่งหลั่งคอร์ติซอลออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อต่อสู้กับความเครียด การที่ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งมากๆจะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกโหยหิว อยากทานอาหารที่ให้พลังงานสูงมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นกลไกของร่างกายที่จะชดเชยพลังงานที่คุณสูญเสียไปกับความเครียด ทำให้เรามีเรี่ยวแรงไปต่อสู้กับความเครียด หมายความว่า ยิ่งเครียดมาก คุณก็ยิ่งอ้วนมากขึ้นเท่านั้น อยากทานอาหารไขมันสูง ขนมหวาน ๆ อย่างบอกไม่ถูก
นอกจากนี้ คอร์ติซอล ยังจะหลั่งออกมามากในคนที่อดหลับอดนอนบ่อย ๆ ร่างกายก็จะอ่อนแอ ก็จะเกิดความเครียดขึ้นตามมา มีงานวิจัยชี้ว่า คนที่นอนน้อยมีโอกาสอ้วนมากกว่าคนที่นอนในระดับปกติ คือ 6-8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม คอร์ติซอล ยังทำหน้าที่ลดการอักเสบของร่างกายด้วย
หากระดับคอร์ติซอลสูงมาก ๆ เป็นเวลานาน ปัญหาที่ตามมาคือ การทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ ทำให้การทำงานของสมองส่วนนี้ลดลง เซลล์ประสาท แขนงประสาทจะลดลง รวมทั้งไปขัดขวางเซลล์ใหม่ ๆ ที่มีการสร้างขึ้นด้วย
ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดยังจะไปกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคตามมาอีก เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ ในผู้หญิงอาจมีปัญหาประจำเดือนขาด ไขมันสะสมมากตามใบหน้า หน้าท้อง ต้นขา ส่วนคุณผู้ชาย ก็ต้องระวังสมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลง
เราควรรักษาระดับคอร์ติซอลให้สมดุล ไม่ให้หลั่งออกมามากเกินไป นั่นคือ "กำจัดความเครียด" อาจหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ ไปเที่ยวกับเพื่อน เดินช้อปปิ้ง ฟังเพลง ดูหนังตลก ทำสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาที นวดคลายเครียด หรือออกกำลังกาย นอกจากจะลดคอร์ติซอลได้แล้ว ยังเพิ่มระดับเอ็นดอร์ฟิน และช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ด้วย อย่าอดหลับอดนอน และไม่ควรนอนดึกจนเกินไป ดังนั้น อย่าดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ไม่รู้สึกง่วงนอน และเป็นที่มาของอาการนอนไม่หลับ
หากวิธีเหล่านี้ยังไม่ได้ผล ก็ต้องลองหลีกหนีออกจากความเครียดทั้งหลาย หรือจะปรึกษาจิตแพทย์ให้ช่วยให้คำแนะนำ
Cortisol เป็นฮอร์โมนที่จะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรามีความเครียด แต่คอร์ติซอล ก็ถูกจัดเป็นฮอร์โมนที่จำเป็น (Essential Hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต หากขาดไปก็จะส่งผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย
สำหรับฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ถูกผลิตจากต่อมหมวกไต และจะถูกสร้างมากขึ้นในตอนเช้า เพื่อช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง และช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย เพื่อให้เราพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาระหว่างวัน ก่อนที่ระดับของฮอร์โมนจะค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งตกเย็น และนอนหลับไป
แต่หากระหว่างวันเราเกิดความเครียดขึ้นเมื่อใด ร่างกายก็จะยิ่งหลั่งคอร์ติซอลออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อต่อสู้กับความเครียด การที่ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งมากๆจะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกโหยหิว อยากทานอาหารที่ให้พลังงานสูงมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นกลไกของร่างกายที่จะชดเชยพลังงานที่คุณสูญเสียไปกับความเครียด ทำให้เรามีเรี่ยวแรงไปต่อสู้กับความเครียด หมายความว่า ยิ่งเครียดมาก คุณก็ยิ่งอ้วนมากขึ้นเท่านั้น อยากทานอาหารไขมันสูง ขนมหวาน ๆ อย่างบอกไม่ถูก
นอกจากนี้ คอร์ติซอล ยังจะหลั่งออกมามากในคนที่อดหลับอดนอนบ่อย ๆ ร่างกายก็จะอ่อนแอ ก็จะเกิดความเครียดขึ้นตามมา มีงานวิจัยชี้ว่า คนที่นอนน้อยมีโอกาสอ้วนมากกว่าคนที่นอนในระดับปกติ คือ 6-8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม คอร์ติซอล ยังทำหน้าที่ลดการอักเสบของร่างกายด้วย
หากระดับคอร์ติซอลสูงมาก ๆ เป็นเวลานาน ปัญหาที่ตามมาคือ การทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ ทำให้การทำงานของสมองส่วนนี้ลดลง เซลล์ประสาท แขนงประสาทจะลดลง รวมทั้งไปขัดขวางเซลล์ใหม่ ๆ ที่มีการสร้างขึ้นด้วย
ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดยังจะไปกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคตามมาอีก เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ ในผู้หญิงอาจมีปัญหาประจำเดือนขาด ไขมันสะสมมากตามใบหน้า หน้าท้อง ต้นขา ส่วนคุณผู้ชาย ก็ต้องระวังสมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลง
เราควรรักษาระดับคอร์ติซอลให้สมดุล ไม่ให้หลั่งออกมามากเกินไป นั่นคือ "กำจัดความเครียด" อาจหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ ไปเที่ยวกับเพื่อน เดินช้อปปิ้ง ฟังเพลง ดูหนังตลก ทำสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาที นวดคลายเครียด หรือออกกำลังกาย นอกจากจะลดคอร์ติซอลได้แล้ว ยังเพิ่มระดับเอ็นดอร์ฟิน และช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ด้วย อย่าอดหลับอดนอน และไม่ควรนอนดึกจนเกินไป ดังนั้น อย่าดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ไม่รู้สึกง่วงนอน และเป็นที่มาของอาการนอนไม่หลับ
หากวิธีเหล่านี้ยังไม่ได้ผล ก็ต้องลองหลีกหนีออกจากความเครียดทั้งหลาย หรือจะปรึกษาจิตแพทย์ให้ช่วยให้คำแนะนำ
เวลาที่เราโกรธจัด กลัว ตกใจมาก ๆ ตื่นเต้นสุด ๆ ร่างกายของเราจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น เช่น หน้าแดง ตัวสั่น มือสั่น หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นแรง มีกำลังวังชามากขึ้น เป็นผลมาจากฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออีกชื่อว่า อีพีเนฟรีน (Epinephrine)
ฮอร์โมนนี้สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตจะหลั่งออกมาเวลาอยู่ในภาวะตกใจ โกรธ ตื่นเต้น ตกอยู่ในอันตราย เกิดความเครียด เมื่อหลั่งออกมา จะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น คือ เปลี่ยนไกลโคเจนในตับให้เป็นกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ทำมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น การเผาผลาญอาหารเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาล ทำให้แรงดันของโลหิตเพิ่มขึ้น ทำให้หลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่บริเวณอวัยวะภายในต่าง ๆ ขยายตัว แต่เส้นเลือดขนาดเล็กที่ผิวหนัง และช่องท้องหดตัว และกลูโคสไปให้เซลล์ในร่างกายได้มากขึ้น และเข้าสู่ปอดได้รวดเร็ว กระตุ้นให้หัวใจบีบตัว ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น มีการสูบฉีดโลหิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวมากกว่าปกติ จะได้เตรียมต่อสู้ หรือหนี กระตุ้นให้หลอดลมขยายตัว เพื่อให้ปอดรับออกซิเจนได้เต็มที่ ทำให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น รูม่านตาเบิกกว้าง ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น
จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว มีพละกำลังมากขึ้น เพราะเป็นการกระตุ้นให้กลไกของร่างกายทำงานในประสิทธิภาพขั้นสูงสุด จะช่วยเรามีพละกำลังรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และป้องกันตัวได้
ถ้ามีการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินมากเกินไป โดยเฉพาะคนที่เป็นเนื้องอกในต่อมหมวกไตชั้นใน หรือได้รับสารนี้เกินขนาด ย่อมเกิดอันตรายต่อร่างกาย ถ้าแบบไม่รุนแรงจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก น้ำหนักลด แต่น้ำตาลในเลือดสูง ผิวหนังตอบสนองเร็ว แต่ถ้ารุนแรงมาก ๆ ก็มีผลถึงแก่ชีวิต เพราะฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วมากเกินไป จนอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน และยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองแตก แต่หากขาดอะดรีนาลินไปเลย ก็จะทำให้เป็นคนอ่อนแอทั้งทางกายและจิตใจได้เหมือนกัน
เซโรโทนิน...ฮอร์โมนแห่งความสงบ(Serotonin)
ใครที่มักมีอารมณ์เหงา เศร้า จนนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนตัวนี้ เซโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนจำเป็นที่ชื่อว่า "ทริปโตเฟน" ที่อยู่ในสมอง มีหน้าที่ควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ควบคุมวงจรการนอนหลับ อุณหภูมิกาย ความดันโลหิต การหลั่งฮอร์โมน การรับรู้ความเจ็บปวด ฯลฯ เป็นเหมือนกับระบบเข็มนาฬิกาของสมอง
หากร่างกายมีสารเซโรโทนินอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย สงบ มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์มั่นคง ไม่แปรปรวน ตอบสนองต่อความเครียดได้ดี แต่ถ้าอยู่ในภาวะเครียด เซโรโทนินจะลดลง เราจะรู้สึกหงุดหงิด ขาดสมาธิ นอนไม่หลับหากมีอาการเจ็บปวดจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น บางคนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า หรือภาวะไบโพลาร์ เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้ายได้
ใครที่ชอบเครียดง่าย หงุดหงิดบ่อย นอนไม่หลับ ลองทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง ปลา จะได้รับกรดอะมิโนรวมทั้งทริปโตเฟนไว้ใช้สร้างสารเซโรโทนินด้วย และควรทานสารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช รวมถึงเห็ด ถั่วเขียว หัวเผือก หัวมัน มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวโพด ผักกาดขาว แคนตาลูป ขนมปัง เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตเฟนให้มากขึ้น
เห็นความมหัศจรรย์ของ 8 ฮอร์โมนเด่น ๆ ในร่างกายแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะได้เกิดความสมดุล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำรงชีวิต
ด้วยความปรารถนาดีจาก
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus
ใครที่มักมีอารมณ์เหงา เศร้า จนนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนตัวนี้ เซโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนจำเป็นที่ชื่อว่า "ทริปโตเฟน" ที่อยู่ในสมอง มีหน้าที่ควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ควบคุมวงจรการนอนหลับ อุณหภูมิกาย ความดันโลหิต การหลั่งฮอร์โมน การรับรู้ความเจ็บปวด ฯลฯ เป็นเหมือนกับระบบเข็มนาฬิกาของสมอง
หากร่างกายมีสารเซโรโทนินอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย สงบ มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์มั่นคง ไม่แปรปรวน ตอบสนองต่อความเครียดได้ดี แต่ถ้าอยู่ในภาวะเครียด เซโรโทนินจะลดลง เราจะรู้สึกหงุดหงิด ขาดสมาธิ นอนไม่หลับหากมีอาการเจ็บปวดจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น บางคนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า หรือภาวะไบโพลาร์ เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้ายได้
ใครที่ชอบเครียดง่าย หงุดหงิดบ่อย นอนไม่หลับ ลองทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง ปลา จะได้รับกรดอะมิโนรวมทั้งทริปโตเฟนไว้ใช้สร้างสารเซโรโทนินด้วย และควรทานสารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช รวมถึงเห็ด ถั่วเขียว หัวเผือก หัวมัน มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวโพด ผักกาดขาว แคนตาลูป ขนมปัง เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตเฟนให้มากขึ้น
เห็นความมหัศจรรย์ของ 8 ฮอร์โมนเด่น ๆ ในร่างกายแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะได้เกิดความสมดุล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำรงชีวิต
ด้วยความปรารถนาดีจาก
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น