วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

ยาโรคหัวใจ กับข้อควรระวัง

ยาโรคหัวใจ กับข้อควรระวัง

     ยาที่เกี่ยวกับโรคหัวใจมีหลายประเภท ขึ้นกับปัญหาและอาการของคนไข้โรคหัวใจนั้น การใช้ยาโรคหัวใจไม่ถูกต้อง จะต้องอาศัยความรู้ในเรื่องโรคหัวใจพอสมควร จะต้องติดตามเฝ้าดูการใช้ยาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในระยะแรก และจะต้องหยุดยาทันทีที่เกิดพิษจากยาหรือสงสัยว่าจะเกิดพิษจากยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยสามารถไปโรงพยาบาลได้ ควรจะให้ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องเสียก่อน จึงจะให้ยาได้ถูกต้องยิ่งขึ้น

     แม้ว่าโรคหัวใจจะมีหลายแบบหลายอย่าง แต่ปัญหาหรืออาการที่ทำให้คนไข้โรคหัวใจไม่สบายอาจจะแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจ ก็จะขอกล่าวถึงยารักษาโรคหัวใจตามกลุ่มอาการดังกล่าว

1. กลุ่มที่มีอาการเหนื่อยหอบ และ/หรือบวม
     คนไข้ที่มีอาการเหนื่อยหอบและบวมพร้อมกันหรือต่อเนื่องกัน เกือบทั้งหมดจะอยู่ในภาวะหัวใจทำงานไม่ไหว (ภาวะหัวใจล้ม หรือ ภาวะ หัวใจวาย) ทำให้เลือดไปคั่งในปอดจึงหอบเหนื่อย และเลือดคั่งในส่วนอื่นของร่างกายโดยเฉพาะส่วนล่าง เช่น เท้า ขา จึงบวมที่เท้าและขา แต่ถ้าคนไข้หอบหรือเหนื่อยโดยไม่บวม อาจจะเกิดจากหัวใจหรืออวัยวะอื่นก็ได้ เช่น ปอด (โรคปอดบวม โรคหลอดลมอักเสบ เป็นต้น) สมอง (โรคจิต โรคประสาท โรคสมองอักเสบ เป็นต้น) หรือถ้าคนไข้บวม โดยไม่หอบหรือเหนื่อย อาจจะเกิดจากหัวใจหรืออวัยวะอื่นก็ได้ เช่น ไต (โรคไตอักเสบ โรคไตเรื้อรัง), ตับ (โรคตับแข็ง โรค ตับเรื้อรัง), หลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง (อักเสบหรืออุดตัน เป็นต้น)
     ดังนั้น ถ้าคนไข้หอบเหนื่อย หรือบวมเพียงอย่างหนึ่งอย่างเดียว จะไปทึกทักหรือคิดว่าเป็นโรคหัวใจไม่ได้ และแม้ว่าคนไข้จะหอบเหนื่อยและบวมพร้อมๆ กัน คนไข้ก็อาจจะไม่ได้เป็นโรคหัวใจก็ได้ แต่คนไข้จะอยู่ในภาวะหัวใจทำงานไม่ไหว ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคเลือด (เช่น ซีดมากๆ), โรคไต (ที่เป็นรุนแรงจนซีด หรือความดันเลือดสูง), โรคขาดอาหารอย่างรุนแรง ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคนไข้หอบเหนื่อยและบวม ยาที่ใช้ในภาวะนี้จะคล้ายกันไม่ว่าจะเป็นจากโรคอะไร ยาที่ใช้ คือ
1.1 ยาขับปัสสาวะ เช่น ยาฮัยโดรคลอโรไธอะไซด์ (Hydrochlorothiazide) ยาฟูโรเซไมด์ (Furosemide)

1.2  ยาประเภทดิจิตาลิส (Digitalis)
ยาในกลุ่มนี้ประกอบด้วยยาหลายชนิด ซึ่งที่นิยมใช้กันบ่อยมากที่สุดได้แก่ ดิจ๊อกซิน (Digoxin) นอกจากนี้ตัวอื่นที่มีใช้อยู่ที่สำคัญได้แก่ ดิจิต๊อกซิน (Digitoxin) และลานาโตไซด์ (Lanatoside)
ยาประเภทนี้ทั้งหมดมีผลโดยตรงต่อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหดตัวแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลให้หัวใจสามารถผลักดันเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ดีขึ้น อาการที่เกิดจากภาวะหัวใจทำงานไม่ไหว เช่นอาการหอบ เหนื่อยและบวม จึงดีขึ้น ยานี้ทำให้หัวใจเต้นช้าลงด้วย แต่ในคนปกติหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่แล้ว ยานี้จึงไม่ทำให้หัวใจทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดพิษได้อีกด้วย ส่วนในคนที่เกิดภาวะหัวใจล้มหรือหัวใจวายนั้น กล้ามเนื้อหัวใจสามารถจะตอบสนองต่อยาจนบีบเลือดออกจากหัวใจได้มากขึ้น ทำให้การคั่งของเลือดในอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ลดลง ผู้ป่วยจะมีปัสสาวะมากขึ้น เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้น อาการบวมลดลง
     เนื่องจากยานี้มักจะถูกเรียกกันทั่วๆ ไปว่าเป็น ‘‘ยาบำรุงหัวใจ” ซึ่งที่จริงแล้ว ยานี้ไม่ได้ไปบำรุงหัวใจ แต่ไปกระตุ้นให้หัวใจทำงานมากขึ้น การที่เรียกว่า ‘‘ยาบำรุงหัวใจ” ก็เพราะเรียกกันอย่างนั้นมานาน ทำให้มีการนำยานี้ไปใช้บำรุงหัวใจ ขอเน้นว่าห้ามใช้ยานี้ในคนที่หัวใจปกติเด็ดขาด และเนื่องจากยามีพิษสูงมาก จึงไม่ควรใช้ยานี้โดยไม่จำเป็น แม้แต่ในสถาบันการแพทย์ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคหัวใจ เเละเครื่องมือเครื่องใช้ทันสมัยครบครันก็ยังมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากพิษของยาตัวนี้ปีละไม่น้อย

     คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยาในกลุ่มนี้ต่างกันเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญที่จะต้องทราบคือ
ยาดิจ๊อกซิน (Digoxin) ดูดซึมได้ดีจากทางเดินอาหาร แต่การดูดซึมอาจแตกต่างกันได้ในผู้ป่วยแต่ละราย ยาถูกขับถ่ายออกทางไตในสภาพที่ยังออกฤทธิ์ได้เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในผู้ป่วยโรคไต และในเด็กหรือคนแก่ จะต้องลดขนาดยาลง
     ยาดิจิต๊อกซิน (Digitoxin) ดูดซึมได้ดีมาก ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ยาดิจิติ๊อกซินจะถูกทำลายโดยตับเป็นส่วนใหญ่และจะถูกขับถ่ายออกทางไตในสภาพหมดฤทธิ์แล้ว ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตจึงไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนขนาดยาเหมือนติจ๊อกซิน นอกจากนี้ยายังอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานานกว่าดิจ๊อกซินมากกล่าวคือ ถ้าให้ยาเพียงครั้งเดียว ระดับยาดิจิต๊อกซินจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของระดับเดิมในเวลา 5-7 วัน ส่วนดิจ๊อกซินในเวลา 36 ชั่วโมง ซึ่งคุณสมบัติอันนี้ทำให้การใช้ยา ดิจ๊อกซิน แตกต่างจากดิจิต๊อกซิน ในแง่ของขนาดและวิธีใช้
     ส่วนลานาโตไซด์ (Lanatoxide) มีการดูดซึมจากกระเพาะสำไส้ไม่ดีฤทธิ์จะไวและสั้นกว่าดิจ๊อกซิน (Digoxin) จึงไม่เหมาะสำหรับใช้กิน ปกติมักจะใช้ในรูปของยาฉีด เพื่อหวังผลการออกฤทธิ์ที่เร็ว

ฤทธิ์และอาการที่ไม่พึงประสงค์
     ยานี้จัดได้ว่าเป็นยาที่มีพิษมากที่สุดตัวหนึ่งในบรรดายาที่ใช้รักษากันทั่วๆ ไป อาการพิษจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับยานี้เกินขนาด ซึ่งพิษที่ร้ายแรงที่สุดและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้คือพิษต่อหัวใจ เพราะยานี้ในขนาดสูงจะมีผลทำให้หัวใจเต้นผิดปกติและทำงานอ่อนลง ปัญหาที่เป็นเรื่องสำคัญในอาการพิษแบบนี้คือ บางครั้งจะวินิจฉัยไม่ได้โดยแน่นอนว่าอาการของผู้ป่วยที่หนักลงนั้นเป็นเพราะยาที่ให้ไม่เพียงพอ หรือยาที่ให้มากเกินไป แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เกิดพิษจากยานี้จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หอบเหนื่อยมากขึ้น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เบื่ออาหาร หรือตาเห็นสีขาวจ้าเป็นสีอื่น และชีพจรอาจจะเต้นช้าลงอย่างมาก ดังนั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หอบเหนื่อยมากขึ้น ชีพจรเต้นช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที หรือเต้นผิดจังหวะ หรือตาเห็นสีขาวจ้าเป็นสีอื่น ก็ให้หยุดยาทันที อาการพิษมักจะเกิดขึ้นได้ง่าย ในภาวะที่มีโปตัสเซี่ยมในเลือดต่ำ ดังนั้นจึงควรแนะนำให้ผู้ป่วยกินส้ม กินกล้วยให้มากๆ และในกรณีที่ได้ยาขับปัสสาวะที่ทำให้ร่างกายเสีย โปตัสเซียม ควรให้ยาโปตัสเซียมร่วมด้วย

รูปของยา
ดิจ๊อกซิน (Digoxin) ชื่อการค้าเช่น ลาน๊อกซิน (Lanoxin) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.25 มิลลิกรัม (มีเม็ดขนาดเล็กกว่านี้ด้วย) ชนิดน้ำ 0.05 มิลลิกรัม/1มิลลิลิตร และยาฉีด 0.5 มิลลิกรัม/2 มิลลิลิตร
ดิจิต๊อกซิน (Digitoxin) ชื่อการค้าเช่น คริสโตดิจิน (Crystodigin) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.1 มิลลิกรัม
ลานาโตไซด์ (Lanatoxide) ชื่อการค้าเช่น เซดิแลนิด (Cedilanid) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.25 มิลลิกรัม (ไม่ควรใช้) และชนิดฉีด 0.8 มิลลิกรัม/2 มิลลิลิตร

ขนาดและวิธีใช้
ในคนที่มีภาวะหัวใจล้ม หรือหัวใจวาย ส่วนใหญ่จะใช้ยาดิจ๊อกซิน ประมาณวันละ 1 เม็ดเป็นประจำ จะกินตอนไหนก็ได้ การใช้ยาประเภทนี้จะต้องระวังเรื่องพิษจากยาเสมอ เพราะคนบางคนอาจจะกินยาวันละ 1 เม็ดได้ บางคนกินเพียงวันละครึ่งเม็ดก็เกิดพิษแล้ว แต่บางคนก็ต้องกินถึงวันละ 2 เม็ด จึงจะคุมอาการทางหัวใจได้ ในกรณีที่ต้องกินวันละ 2 เม็ด ควรให้กินหลังอาหารเช้า และกลางวัน
ข้อควรระวัง
ถ้าใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะจะต้องกินส้ม และหรือกล้วยวันละหลายๆ ผล และอาจต้องกินยาโปตัสเซี่ยมร่วมด้วย

2. กลุ่มที่มีอาการใจเต้น ใจสั่น
     คนไข้ส่วนใหญ่ ที่มีอาการใจเต้นใจสั่นมักจะไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แต่เป็นภาวะใจเต้นใจสั่นตามปกติ นั่นคือ คนปกติทุกคน เวลาออกกำลังหนักๆ เวลาโกรธ ตื่นเต้น ตกใจ กลัว หรือมีอารมณ์รุนแรง หัวใจจะเต้นเร็ว และ/ หรือแรง จนอาจจะรู้สึกได้อย่างสบาย ถ้าหัวใจของคนใดไม่เต้นเร็วหรือแรงในสภาวะดังกล่าว หัวใจของคนๆ นั้นก็น่าจะผิดปกติ
     ดังนั้นเวลารู้สึกใจเต้นใจสั่น ให้ดูเสียก่อนว่า เกิดสภาวะดังกล่าวนำมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งบางครั้งก็อาจลืมไป เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธ ตกใจ ตื่นเต้น ฯลฯ ได้ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว แต่ยังฝังลึกอยู่ในจิตใจ พอนั่งหรือนอนอยู่ว่างๆ มันก็หวนกลับขึ้นมาและทำให้ใจเต้นใจสั่นได้
คนที่หัวใจเต้นผิดปกติเพราะโรคหัวใจ ส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกว่า หัวใจของตนเต้นผิดปกติ ดังนั้นคนที่รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นผิดปกติ ส่วนใหญ่มักจะมีหัวใจปกติ
เนื่องจากการวินิจฉัยชนิดของหัวใจเต้นผิดปกติ ให้แน่นอนทำได้ลำบาก และอาจจะต้องอาศัยเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อี.ซี.จี.) ด้วย นอกจากนี้ กลไกที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันชัดเจน จึงขอพูดถึงความผิดปกติที่พบได้บ่อย และวิธีรักษาโดยสังเขปเท่านั้น ส่วนรายละเอียดเรื่องยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกตินั้นไม่ขอกล่าวไว้ในที่นี้ เพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
ในแง่ของการรักษานั้นแม้ว่าหัวใจของผู้ป่วยจะเต้นผิดปกติ แต่ถ้าผู้ป่ วยไม่มีอาการที่เนื่องมาจากหัวใจเต้นผิดปกตินั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องให้ยารักษาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติทุกตัวมีพิษมาก อาจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายหรือล้ม หรือทำให้หัวใจเต้นผิดปกติมากขึ้นได้

การที่จะรู้ว่าหัวใจเต้นผิดปกติจริงหรือไม่ ให้ลองจับชีพจรดูก่อน เช่น
ก. ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ก็แสดงว่าหัวใจเต้นผิดปกติ แต่อาจจะเป็นโรคหัวใจหรือไม่ก็ได้ เพราะคนปกติบางคนก็มีหัวใจที่เต้นไม่สม่ำ
เสมอได้ เช่น
     2.1 หัวใจเต้นช้าบ้างเร็วบ้างตามการหายใจ โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าออกยาวๆ นับว่าเป็นสิ่งปกติ ไม่ต้องรักษา

     2.2 หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติเป็นบางตุ้บ ทำให้รู้สึกว่าชีพจรมาเร็วกว่าปกติ หรือหายวาบไปเป็นบางตุ้บ ถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการหอบเหนื่อย บวม หรือเจ็บหน้าอก ไม่ต้องรักษา หรือถ้าจะรักษาก็ใช้ยากล่อมประสาท เช่น ยาไดอะซีแพม ก็เพียงพอแล้ว ถ้าผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย บวม หรือ เจ็บหน้าอก ก็ให้รักษาสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้เกิดอาการเช่นนั้น และอาจใช้ยาบางอย่าง เช่น ซัยโลเคน (Xy- locaine) ควินนีดีน (Ouinidine) นอร์เพส (Norpace) แต่ก่อนจะใช้ยาพวกนี้ ควรจะแน่ใจว่าผู้ป่วยมีหัวใจเต้นผิดปกติจนทำให้เกิดอาการซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มิฉะนั้นยาเหล่านี้จะเป็นพิษต่อหัวใจ ถ้าไม่แน่ใจอย่าใช้ดีกว่า

     2.3 หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอโดยตลอด นั่นคือ ถ้าจับชีพจร หรือฟังเสียงหัวใจ จะพบว่า ชีพจร และเสียงหัวใจจะถี่บ้าง ห่างบ้าง แรงบ้าง ค่อยบ้าง ไม่สมํ่าเสมอกันแม้แต่ตัวที่เต้นมาติดๆ กัน ลักษณะหัวใจเต้นผิดปกติแบบนี้เกือบทั้งหมดจะพบในคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่ ไม่ว่าโรคหัวใจนั้นจะเกิดขึ้นที่หัวใจโดยตรง หรือสืบเนื่องมาจากโรคอื่น
ในกรณีนี้ ถ้าหัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที ควรจะให้ยาดิจ๊อกซิน (Digoxin) วันละ1-2 เม็ด จนหัวใจเต้นช้ากว่า 100 ครั้งต่อนาที แล้วจึงลดลงเหลือ วันละ ½-1 เม็ด หรือเพียงพอที่จะคุมให้หัวใจเต้นอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที โดยไม่เกิดพิษจากยา
ไม่จำเป็นต้องรักษาถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการอะไรเลย และชีพจรที่เต้นไม่สม่ำเสมอนั้นเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญและหัวใจเต้นช้ากว่า 100 ครั้งต่อนาที (ต้องใช้เสียงหัวใจเต้น ไม่ใช้ชีพจร เพราะในกรณีนี้ หัวใจอาจจะเต้นมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที แต่คลำชีพจรได้ต่ำกว่า 100 ครั้งต่อนาที)
ข. ชีพจรเต้นสม่ำเสมอ ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที ก็ถือว่าหัวใจเต้นปกติ

     2.4 แต่ถ้าชีพจรเต้นสม่ำเสมอแต่ช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที ก็เรียกกันว่า หัวใจเต้นช้า (คนที่มีรูปร่างใหญ่ เช่น นักกีฬา หัวใจมักจะเต้นช้า อาจะช้าลงถึง 40 ครั้งต่อนาที) การที่หัวใจเต้นช้าจึงไม่ใช่สิ่งผิดปกติ นอกจากจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือหมดสติด้วย จึงจะถือว่าผิดปกติ ที่จำเป็นต้องรักษา การใช้ยาในกรณีที่หัวใจเต้นช้า ไม่ว่าจะเต้นสม่ำเสมอหรือไม่สม่ำเสมอ และเกิดมีอาการ ก็คือการใช้ยาที่จะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น เช่น
1. อีฟีดรีน (Ephedrine) ที่ใช้แก้อาการหอบหืดจะช่วยกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วได้ อย่างกินมีขนาดเม็ดละ 30 มิลลิกรัม และ 60 มิลลิกรัม กินครั้งละ 1 เม็ด ทุก 3-6 ชั่วโมง จนหัวใจเต้นเร็วพอที่จะไม่มีอาการหน้ามืด เป็นลม อ่อนเพลีย แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดอาการใจสั่น ปวดศีรษะ หรือนอนไม่หลับ
2. ทิงเจอร์เบลลาดอนนา (Tincture of Bella- donna) ที่ใช้แก้อาการท้องเดิน ปวดท้อง จะช่วยกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วได้ ใช้กินครั้งละ 10-30 หยด 1-2 มิลลิลิตร) ทุก 3-6 ชั่วโมง จนหัวใจเต้นเร็ว พอที่จะไม่มีอาการหน้ามืดเป็นลม อ่อนเพลีย แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดอาการท้องอืด ท้องผูก ปัสสาวะไม่ออก หรือใจสั่น (ยานี้ขององค์การเภสัชกรรม ขวดหนึ่งมี 450 มิลลิลิตร)
3. ไอโสโปรเตอรีนอล    (Isoproterenol) จะใช้แก้อาการหอบหืด หรือใช้กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วก็ได้ เเบบอมใต้ลิ้น มีขายในชื่อการค้าว่า ไอสูเพร็ล กลอสเส็ท (Isuprel glosset) หรือ ไอสูเพร็ล สับลิงกลอล  (Isuprel sublingual) เม็ดละ 10 มิลลิกรัม หรือจะใช้แบบพ่นแก้อาการหอบหืด มาพ่นเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นก็ได้
4. อะดรีนาลีน (Adrenalin) จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ต้องใช้ฉีดประมาณ 0.3 มิลลิลิตร เข้าใต้ผิวหนัง เช่นเดียวกับการฉีดแก้อาการหอบหืด
5. อะโทรปีน (Atropine) จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องใช้ฉีด และผลไม่แน่นอนเท่าแอดรีนาลีน หรือ อีฟิดรีน อย่างฉีด

     2.5 ถ้าชีพจรเต้นสม่ำเสมอแต่เร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที ก็เรียกกันว่า หัวใจเต้นเร็ว (คนที่มีรูปร่างเล็ก เช่น เด็ก ยิ่งเล็ก (เป็นทารก) หัวใจยิ่งเต้นเร็ว อาจจะเต้นถึงนาทีละ 110-120 ครั้ง ในภาวะปกติ) นอกจากนั้นคนที่ออกกำลัง หรือตื่นเต้น โกรธ กลัว ตกใจ หรือมีอารมณ์รุนแรงอื่นๆ ก็จะมีหัวใจเต้นเร็วได้ซึ่งถือว่าเป็นปกติ ภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที จะถือว่าผิดปกติ เมื่อมันเป็นเช่นนั้น ตลอดเวลาแม้แต่ในขณะหลับ หรือเมื่อมันทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อย บวม หรือไม่สบาย ซึ่งในกรณีเช่นนี้จึงจะต้องทำการรักษา คือ
หัวใจเต้นระหว่าง 100-160 ครั้งต่อนาที อัตราเต้นของหัวใจจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น นาทีนี้จับชีพจรได้ 140 ครั้งต่อนาที อีก 2-3 นาที จับชีพจรใหม่ได้ 120 ครั้งต่อนาที หรือชีพจรในท่านั่ง ท่านอน และท่ายืน จะต่างกัน เป็นต้น เวลาที่คนไข้ มีอาการใจเต้นใจสั่น อาการใจเต้นใจสั่นจะค่อยๆ เป็นมากขึ้น หรือค่อยๆ หาย ลักษณะการเต้นของหัวใจแบบนี้ เรียกว่า หัวใจเต้นเร็วแบบธรรมดา (sinus tachycardia) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเคร่งเครียด กังวล การออกกำลัง และอารมณ์รุนแรงต่างๆ ส่วนน้อยเกิดจากการมีไข้สูง ภาวะคอพอกเป็นพิษ ภาวะหัวใจทำงานเพิ่มขึ้นและอื่นๆ
การรักษา
1. ให้พักกายและใจ เช่น นั่งพัก สงบสติอารมณ์ หายใจเข้าออกยาวๆ และเพ่งจิตไปที่การหายใจ คือ หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็ให้รู้ว่าหายใจออก หรือเวลาหายใจเข้าให้นับ 1 ถึง 10 เป็นต้น
2. ให้ยากล่อมประสาท เช่น ไดอะซีแพม
3. หาสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและแก้สาเหตุเสีย
4. การใช้ยาหัวใจในกรณีเช่นนี้ จะมีอันตรายได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าหัวใจไม่ได้เต้นเร็วจากโรคหัวใจ

การป้องกัน
1. ให้บริหารกายและจิตเป็นประจำ
2. ให้รักษาสาเหตุถ้ารักษาได้
หัวใจเต้นมากกว่า 160 ครั้งต่อนาที และไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เช่น นาทีนี้จับชีพจรได้ 180 ครั้งต่อนาที อีก 2-3 นาที ก็จับชีพจรได้เท่าเดิม จะนอน นั่ง ยืน ก็จับชีพจรได้เท่ากัน เวลาเป็นจะเป็นทันที เวลาหายก็หายทันที ไม่ค่อยๆ เป็นมากขึ้น และไม่ค่อยๆ หาย ลักษณะการเต้นของหัวใจแบบนี้ เรียกว่า หัวใจห้องบนเต้นเร็วเป็นพักๆ (paro¬xysmal atrial tachycardia) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดเพราะคนบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น แล้วไปประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่น ทำงานหนักเกินไป อดหลับอดนอน เคร่งเครียด สูบบุหรี่จัด ดื่มสุรา ชา กาแฟ เป็นต้น จึงเกิดอาการ “หัวใจห้องบนเต้นเร็ว” ขึ้น

การรักษา
1. ให้นั่งพัก
2. กลั้นหายใจแล้วเบ่ง โดยสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด กลั้นหายใจ แล้วเบ่งเหมือนกับเวลาเบ่งอุจจาระ เมื่อท้องผูก จะต้องเบ่งจนหน้าแดงและจนเบ่งต่อไปไม่ไหว แล้วจึงจะหายใจออกและหายใจเข้าใหม่ได้ ถ้าทำครั้งแรกไม่ได้ผล ให้ลองทำซ้ำใหม่อีก 2-3 ครั้ง อาจจะทำให้หัวใจกลับเต้นเป็นปกติได้
3. จุ่มศีรษะลงในอ่างน้ำแช่น้ำแข็ง แล้วกลั้นหายใจให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติได้
4. การใช้ยา ส่วนมากยาที่ใช้ที่จะหยุดภาวะหัวใจห้องบนเต้นเร็วนี้ มักจะต้องเป็นยาฉีด เช่น ไอซ๊อบติน (Isoptin) ดิจ๊อกซิน (Digoxin)

วาซ๊อกซิล (Vasoxyl) ซึ่งการใช้จะต้องระวังมาก
การป้องกัน
คนที่ชอบเป็นภาวะนี้จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงชนวนต่างๆ ที่จะทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้น เช่น การอดหลับอดนอน การออกกำลังมากเกินไป การดื่มสุรา ชา กาแฟ การสูบบุหรี่ การเคร่งเครียด กังวล หรือมีอารมณ์รุนแรงเกินไป เป็นต้น

3. กลุ่มที่มีอาการเจ็บหรือแน่นในอก
     เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ แต่อาการเจ็บแน่นในหน้าอกในคนทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการเจ็บหัวใจ แต่เป็นการเจ็บที่ผนังอก การแน่นท้อง
การแน่นอกจากการเรอเปรี้ยว การเจ็บในปอดหรือช่องปอด หรืออื่นๆ
อาการเจ็บที่กล้ามเนื้อหัวใจ จะมีลักษณะ
1. เจ็บตรงกลางหน้าอก ตรงหน้าอกส่วนล่าง หรือทางด้านซ้ายต่อหน้าอกส่วนล่าง อาจจะเจ็บหรือแน่นไปที่คอ ไหล่ แขน และหลังได้
2. เจ็บเวลาออกกำลัง หรือ หลังจากออกกำลัง เช่น ยกของหนัก ขุดดิน เบ่งอุจจาระ กินข้าว โดยเฉพาะถ้ากินอิ่มจนเกินไป อาบน้ำโดยเฉพาะถ้าอาบน้ำเย็นจัด หรือถูตัวแรงเกินไป เป็นต้น
3. เจ็บเวลาเครียดมาก เช่น เวลาโกรธ ตื่นเต้น ตกใจ ห่วงกังวล รีบร้อน สูบบุหรี่จัด กินของเย็นจัด เป็นต้น
4. ลักษณะของอาการเจ็บ อาจจะเป็นแบบแน่น แบบมีอะไรมาบีบรัดมากดทับ หรืออาจจะรู้สึกเจ็บแสบ ปวด จุก หรือมีลักษณะแบบแน่นจนหายใจไม่ออก หรือจุกแน่นในคอ หรือปวดเมื่อยมาที่ไหล่ที่แขน จนยกแขนไม่ขึ้น หรือใช้แขนไม่สะดวกก็ได้
5. ถ้าเป็นน้อย จะเจ็บอยู่ประมาณ 1- 2 นาทีก็หาย ถ้าเป็นมากอาจจะเจ็บอยู่เป็นชั่วโมงร่วมด้วยอาการซีด มือเท้าเย็น เหงื่อออกท่วมตัว หอบเหนื่อย หรือหมดสติได้
6. อาการมักจะดีขึ้นเมื่อนั่งพัก หรือเมื่ออมยาไนโตรกลีเซอรีนไว้ใต้ลิ้น แต่ถ้าเป็นมาก อาจจะต้องฉีดยาแก้ปวดพวกมอร์ฟีน จึงจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อ่านลักษณะอาการเหล่านี้บ่อยๆ จนจำได้ อาจเกิดอุปาทานคิดไปว่า ตนเองกำลังเจ็บหัวใจ และมีลักษณะอาการเจ็บเหมือนอาการเจ็บหัวใจทุกประการทั้งที่อาการเจ็บหน้าอกของตนนั้นไม่ได้เกิดจากหัวใจเลย
อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่น่าจะใช่อาการเจ็บที่กล้ามเนื้อหัวใจ เช่น อาการเจ็บแน่นในหน้าอกด้านขวาอาการเจ็บจี๊ดๆ แปล๊บๆ เหมือนถูกเข็มแทง อาการเจ็บที่ต้องกลั้นหายใจหรือหายใจเบาๆ อาการเจ็บคงอยู่เป็นชั่วโมงหรือเป็นวันโดยไม่เกิดอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น เช่น หอบเหนื่อยบวม มือเท้าเย็น เหงื่อแตกท่วมตัว เป็นต้น อาการเจ็บหน้าอกที่เอามือกดหรือแตะบริเวณนั้นแล้วเจ็บมากขึ้น อาการเจ็บหน้าอกที่เอามือกดหรือนวดบริเวณนั้นแล้วอาการเจ็บหายไป อาการเจ็บหน้าอกที่ในขณะเจ็บก็ยังทำการทำงานได้ตามปกติ เป็นต้น

ยารักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอาจแบ่งออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ
     1. ยาพวกไนไตรท์ (Nitrites) และไนเตรท (Ni¬nes) ที่ใช้บ่อยได้แก่ ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) ไอโสซอร์ไบด์ (Isosorbide) ชื่อการค้าเช่น ไอซอร์ดิล (Isordil) ยาเพนตะอิริไทรตอล (Pentaerythritol) ชื่อการค้าเช่น เพอริเตรท (Peritrate)

     2. ยาปิดกั้นเบต้า (Beta-adrenergic blocker)
ยาไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin)
ยาตัวนี้มีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อเรียบทั่วร่างกายหย่อนตัว หลอดเลือดก็มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อเรียบจึงขยายตัวหลอดเลือดหัวใจ (coronary blood vessels) ก็ขยายตัวเช่นเดียวกัน แต่ผลที่นำไปใช้รักษาภาวะหัวใจขาดเลือดคือ ยานี้จะไปลดการใช้พลังงานของหัวใจ ทำให้หัวใจต้องการอ๊อกซิเจน (เลือดไปเลี้ยง) น้อยลง อาการเจ็บหน้าอกซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจึงหายไปได้
ยาตัวนี้ถูกดูดซึมได้เร็วถ้าให้อมไว้ใต้ลิ้น การดูดซึมจากทางเดินอาหารก็รวดเร็ว แต่เนื่องจากตับจะทำลายยาให้หมดฤทธิ์ไปอย่างรวดเร็วทันทีที่ยาดูดซึมจากทางเดินอาหาร จึงห้ามใช้กิน ให้ใช้อมไว้ใต้ลิ้นเสมอ

ฤทธิ์และอาการที่ไม่พึงประสงค์
     อาการที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ มักจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากฤทธิ์ของยาต่อระบบไหลเวียนเลือด เช่น อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ความดันเลือดตํ่า (ความดันเลือดอาจตํ่าลงอย่างรวดเร็วเวลาเปลี่ยนอิริยาบท (postural hypotension) ทำให้หน้ามืดเป็นลมเวลาเปลี่ยนอิริยาบทจากนอนเป็นยืนได้) นอกจากนี้ยังมีอาการที่เกิดจากแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน ลิ้นเป็นแผล (ตรงบริเวณที่อมยา)
รูปของยา
ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.6 มิลลิกรัม ชนิดขี้ผึ้งไนตรอล (ointment Ni- trol) ประกอบด้วยไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin) 2%
ขนาดและวิธีใช้
ในขณะที่เจ็บหน้าอกให้นั่งพัก แล้วอมยาไนโตรกลีเซอรีนไว้ใต้ลิ้นสัก 1 เม็ด เมื่อยาละลายจะรู้สึกเผ็ดใต้ลิ้น ร้อนที่หน้า หรือปวดหัว มึนหัวเล็ก น้อย และอาการเจ็บหน้าอกจะหายไป ถ้าไม่ดีขึ้น อาจอมซ้ำอีก 1-2 เม็ด ถ้ายังไม่ดีขึ้นอีกผู้ป่วยควรจะได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล และระหว่างส่งต่ออาจให้มอร์ฟีน (Morphine) ขนาด 1/6 เกรน (gr 1/6  ) เข้ากล้ามได้

ไอซอร์ดิลและเพอริเตรท
พวกยาขยายหลอดเลือด เช่น ไอซอร์ดิล (Isor¬dil) และเพอร์ริเตรท (Peritrate) ความจริงก็เป็นสารประเภทที่คล้ายคลึงกับไนโตรกลีเซอรีน แต่อยู่ในรูปของเกลือ (organic nitrates) เพื่อให้ใช้กินทางปากได้ และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ยาวนานขึ้น โดยทั่วไปจะใช้ยาเหล่านี้ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกบ่อยๆ ในแง่สำหรับเป็นการป้องกันอาการ แต่ผลในการรักษาไม่แน่นอน อาจได้ผลดีในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น
ฤทธิ์และอาการที่ไม่พึงประสงค์
คล้ายคลึงกับยาไนโตรกลีเซอรีน
รูปของยา
ไอโซซอร์ไบด์ ไดไนเตรท (Isosorbide dini¬trate) ชื่อการค้าเช่น ไอซอดิล (Isordil) ชนิดเม็ดๆ ละ 10 มิลลิกรัม ยาเม็ดอมใต้ลิ้น 5 มิลลิกรัม
ขนาดและวิธีใช้
ยาเม็ดใช้กิน ขนาด 5-30 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน
ยาอมใต้ลิ้น 1-2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง
หมายเหตุ
ในรูปที่ออกฤทธิ์ยาวนานไม่แนะนำให้ใช้เพราะผลการดูดซึมไม่แน่นอนและอาจมีพิษได้ง่ายกว่าในรูปอื่น

เพนตาอีริไทรตอล เตตราไนเตรท (Pentaerythritol tetranitrate)
ชื่อการค้า เช่น เพอริเตรท (Peritrate) เม็ด 10 มิลลิกรัม
ขนาดและวิธีใช้
ใช้ 1-2 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
หมายเหตุ
ในรูปของยาที่ออกฤทธิ์ยาวนานไม่แนะนำให้ใช้
ยาปิดกั้นเบต้า (Beta-adrenergic Blocker)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกบ่อยๆ อาจใช้ยาปิดกั้นเบต้าช่วยลดการทำงานของหัวใจให้น้อยลง ซึ่งผลที่ได้ตามมาคือ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกน้อยครั้งลง ยานี้ไม่ควรใช้สำหรับรักษาอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในแง่สำหรับป้องกันเท่านั้น
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงจากสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
2. ถ้าเป็นโรคนี้แล้ว ให้ยาไนโตรกลีเซอรีนติดตัวไว้เสมอและให้อมยานี้ทันทีเมื่อมีอาการ

4. กลุ่มที่มีอาการหน้ามืดเป็นลมหรือหมดสติ
     ซึ่งอาจเกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ หรือเกิดจากโรคหัวใจที่มีการอุดกั้นทางเดินของเลือดห้องหัวใจ หรือในหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจ แต่อาการหน้ามืดเป็นลม หรือหมดสติส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากหัวใจ แต่เกิดจากความอ่อนแอ ความอ่อนเพลีย การอดหลับอดนอน การอดอาหาร การเคร่งเครียดกังวล โรคประสาท โรคลมชัก และอื่นๆ
     การจะรู้ว่าภาวะเป็นลม หน้ามืด หมดสติ เกิดจากหัวใจได้จะต้องตรวจพบว่าหัวใจเต้นผิดปกติ หรือมีภาวะหัวใจโต หรือเสียงหัวใจผิดปกติหรือมือเท้าริมฝีปากเขียวคล้ำในขณะเป็นลมหมดสติ
ถ้าพบเช่นนั้น ควรจะแนะนำให้ไปหาหมอจะดีกว่า ถ้าไปไม่ได้จริงๆ และเกิดอาการจากหัวใจเต้นผิดปกติ ก็ให้การรักษาแบบหัวใจเต้นผิดปกติ
ถ้าเกิดอาการจากหัวใจ หรือเสียงหัวใจผิดปกติ หรือมือเท้าริมฝีปากเขียวคล้ำ ควรจะให้อ็อกซิเจน และให้พัก (นั่งยองๆ นั่งพัก หรือนอนพัก แล้วแต่ว่าคนไข้จะสบายในท่าไหน) และให้ไปหาหมอเมื่อดีขึ้นแล้ว เพราะการใช้ยาในกรณีนี้จะต้องวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรให้แน่นอนก่อน จึงจะใช้ยาได้ถูกต้อง และไม่เป็นอันตรายจากยาได้

5 กลุ่มที่มีอาการผสมผเสกัน อาจมีอาการของกลุ่มที่ 1 กับกลุ่มที่ 2 หรือกลุ่มที่ 1 กับกลุ่มที่ 3 หรือตั้งแต่ 1 ถึง 4 เลยก็ได้
การรักษา
ถ้ามีอาการของกลุ่มใด ให้รักษาอาการของกลุ่มนั้น

การป้องกัน
ถ้ามีอาการของกลุ่มใด ให้ป้องกันตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการของกลุ่มนั้น
หมายเหตุ
มียาหัวใจบางอย่างที่นิยมใช้ในหมู่หมอชาวบ้านที่ชอบฉีดยา ยาเหล่านี้ไม่ค่อยได้ประโยชน์ และอาจมีอันตรายได้ เช่น ยาโครามีน (Coramine), ยาโครามีน-อะดีโนซีน (Coramine-Adenosine), ยาโครามีน-อีฟีดีน (Coramine-Ephedrine), ยาโครามีน-คาฟเฟอีน (Coramine-Caffeine), ยาคาร์นิเก็น (Car- nigen), ยาคอร์เตนซอร์ (Cortensor), ยาคอมพลามิน (Complamin)
ยาเหล่านี้มักจะถูกใช้รักษาคนไข้ที่ชอบมีอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความอ่อนแอทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะความอ่อนเเอหรือความเครียดทางจิตใจ แต่คนไข้กลับถูกบอกให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจ (เช่น โรคหัวใจอ่อน โรคประสาทหัวใจ เป็นต้น) หรือ เป็นโรคความดันต่ำ (ทั้งที่ไม่มีโรคนี้อยู่ในโลก)
ความเข้าใจผิดหรือความเชื่อผิดๆ จึงทำให้มีการนำยาหัวใจพวกนี้ไปใช้กับคนไข้เหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่คนไข้โรคหัวใจเลย แต่เป็น “โรคเครียด” หรือ “โรคประสาท” หรือ “โรคอ่อนแอ” มากกว่า ซึ่งควรจะให้บริหารกายและใจ และถ้าจะใช้ยา ก็ควรจะใช้พวกยากล่อมประสาท หรือ ยาบำรุงร่างกาย (ไม่ควรใช้ยาหัวใจเป็นอันขาด)

ที่มา:รองศาสตราจารย์นายแพทย์สันต์  หัตถีรัตน์
นายแพทย์กำพล  ศรีวัฒนกุล


หากบทความนี้มีประโยชน์ 
รบกวนกดไลท์ กดแชร์ ด้วยครับ
และ
ถ้าไม่อยากทานยา หรือ อยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อ
ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

มาทำความรู้จัก 8 ฮอร์โมนสำคัญในร่างกาย

 รู้ไหมว่า  ฮอร์โมน มีความสำคัญอย่างไร และมหัศจรรย์ขนาดไหน 
Smiley เทสโทสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)

 ฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดของเพศชาย จะไปกระตุ้นให้แสดงลักษณะความเป็นเพศชายออกมา ทำให้ผู้ชายมีรูปร่างลักษณะ อารมณ์ นิสัย ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากสาว ๆ ไม่ว่าจะเป็น...
Smiley การมีเสียงทุ้มใหญ่ มีหนวด มีเครา ขนตามร่างกาย ศีรษะล้าน การสร้างเชื้ออสุจิ ลักษณะกล้ามเนื้อ และกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรงSmiley ทำให้ผู้ชายมีนิสัยชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ รักสนุก ชอบความท้าทาย ในบางช่วงฮอร์โมนนี้ก็ยังทำให้ผู้ชายรู้สึกเครียด วิตกกังวล หดหู่ได้มากกว่าปกติเช่นกันSmiley ทำให้สนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น คิดถึงเรื่องเพศ มีความต้องการทางเพศ ชอบเรื่องเซ็กส์

ร่างกายบางคนผลิตเทสโทสเตอโรนออกมาสูง บางคนมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งผู้ที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยเกินไป อาจรู้สึกว่าตัวเองมีความต้องการทางเพศลดลง ปริมาณอสุจิมีน้อย อวัยวะเพศชายแข็งตัวไม่สมบูรณ์ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความสมบูรณ์ของร่างกายไป ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง และนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากมีฮอร์โมนในระดับเหมาะสม จะช่วยให้มีน้ำหนักตัวพอเหมาะ มีมวลกล้ามเนื้อ

ดังนั้น เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คุณหนุ่ม ๆ ควรรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไว้ไม่ให้ต่ำเกินไป ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยมีผลการวิจัยค้นพบว่า การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Strength training) เพื่อเสริมกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ยกน้ำหนัก ยกเวท มีผลทำให้เทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นได้ด้วย

นอกจากนี้ เรายังสามารถกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีสังกะสีอย่างเพียงพอ คือวันละ 15-25 มิลลิกรัม พบมากในอาหารทะเล ตับ เนื้อวัว ผักสีเขียวเข้ม และผลไม้ เช่น แตงโม เมล็ดทานตะวัน ยิ่งถ้าได้รับวิตามินจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากใ แครอท แคนตาลูป ส้ม มะเขือเทศ มะละกอสุก มะม่วงสุก และฟักทอง จะช่วยเสริมสร้างกันได้ดียิ่งขึ้น

ในเพศหญิงก็มีการสร้างเทสโตสเตอโรนออกมาด้วย แต่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ชายมาก ทำให้ไม่สามารถแสดงลักษณะของเพศชายให้เด่นออกมาได้ ยกเว้นผู้หญิงบางคนที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง ก็อาจจะมีเสียงห้าวกว่าผู้หญิงทั่วไป มีขนดก มีนิสัยห่าม ๆ กล้าหาญ คล้ายผู้ชายได้เหมือนกัน


Smiley เอสโตรเจน...ฮอร์โมนเพศหญิง

ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาจากรังไข่ แล้วกระจายไปตามกระแสเลือด ส่งต่อไปตามอวัยวะต่าง ๆ จึงส่งผลต่อรูปร่าง นิสัย อารมณ์ของเพศหญิง คือ
Smiley ทำให้มีหน้าอก เต้านมเต่งตึง สะโพกผาย ผิวพรรณเปล่งปลั่งSmiley ช่วยเสริมสร้างเซลล์ให้เจริญเติบโต ซ่อมแซมระบบสืบพันธุ์ รักษาสภาพผนังช่องคลอด ควบคุมเมือกในช่องคลอด เพื่อป้องกันการอักเสบ ทำให้ไข่ในรังไข่เจริญเติบโต ควบคุมการตกไข่ กระตุ้นการหนาตัวของเยื่อบุผนังมดลูกชั้นใน เพื่อรองรับการปฏิสนธิร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนSmiley ทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์อ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีไม่สม่ำเสมอ ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาตามรอบของประจำเดือน โดยช่วงที่มีเอสโตรเจนสูงจะเป็นช่วงหลังหมดประจำเดือน และระหว่างเตรียมการตกไข่ กินเวลาประมาณ 9-20 วันSmiley เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายจะมีปริมาณน้อยลง หรือมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกหงุดหงิด ร้อนวูบวาบ หมดอารมณ์ทางเพศ หนาวสั่นง่าย และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ผิวแห้งเหี่ยวย่น มีริ้วรอย หน้าอกหย่อนยาน ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ คันช่องคลอด ผมร่วง ฯลฯ

เอสโตรเจนยังช่วยในเรื่องความจำ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล เป็นตัวช่วยไม่ให้เกิดเมือกไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยลดภาวะกระดูกพรุน และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ หากมีเอสโตรเจนมากเกินไป ก็จะทำให้ไขมันสะสมได้มากขึ้น ทำให้อ้วนง่าย อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย และเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

ถ้าใครมีเอสโตรเจนต่ำเกินไป ก็จะมีรูปร่างผอม ไร้ทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่องคลอดบางและหย่อนยาน มดลูกฝ่อลีบ เต้านมมีขนาดเล็กลง เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุนได้มาก เพราะสูญเสียแคลเซียมไปทีละน้อย

ในผู้หญิงวัยทองที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยลงก็ต้องหาวิธีเสริมฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยการทานอาหารอย่างน้ำมะม่วงสุก, น้ำมะพร้าวอ่อน, กุยช่าย หรือหากมีอาการวัยทองมาก ๆ แพทย์จะสั่งฮอร์โมนเสริมให้


Smiley โปรเจสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศหญิง (สำหรับสาวตั้งครรภ์)
 Progesterone ฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญมาก ๆ โดยถูกสร้างขึ้นมาจากรังไข่ และรก ทำงานร่วมกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีหน้าที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกชั้นในหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์

โปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนยังช่วยกันควบคุมการตั้งครรภ์ในช่วงแรก ๆ เช่น ปรับสภาพเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดการฝังตัวได้ ช่วยสะสมไขมันให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ เพื่อให้มีพลังงาน และสารอาหารเลี้ยงทารก รวมทั้งช่วยทำให้เต้านมขยายใหญ่ขึ้น เพื่อเตรียมผลิตน้ำนมให้ลูกหลังคลอด นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ร่างกายหายใจเร็วขึ้น เพื่อสูดออกซิเจนเข้าปอดมาก ๆ จึงทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวดแข้งปวดขา เพราะฮอร์โมนจะไปทำให้กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อยืดขยายนั่นเอง
แต่หากในช่วงที่ไม่มีการตั้งครรภ์ โปรเจสเตอโรนก็จะไปสลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาขึ้น ให้หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนซึ่งระดับฮอร์โมนนี้ จะมีปริมาณสูงสุดประมาณวันที่ 21-23 ของรอบเดือน (หลังตกไข่ 1 สัปดาห์) จะลดลงต่ำสุดประมาณวันที่ 1-9 ของรอบเดือน

ช่วงที่มีโปรเจสเตอโรนสูง ช่วงนั้นจะมีสิวเห่อขึ้น เพราะโปรเจสเตอโรนที่หลั่งเพิ่มขึ้นไปทำให้เกิดการคั่งน้ำในร่างกาย จนทำให้รูขุมขนบวมมากขึ้น อีกทั้งยังหลั่งน้ำมันมาหล่อเลี้ยงผิวมากขึ้นจนเกิดการสะสมอุดตันตามใบหน้า

ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนออกมาไปจนถึงอายุ 50 ปีปลาย ๆ จากนั้น ฮอร์โมนจะเริ่มผลิตน้อยลง เข้าสู่ภาวะวัยทอง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการ เช่น นอนไม่หลับ เหงื่อออกง่าย ผิวแห้งเหี่ยว กระดูกพรุน ร้อนวูบวาบ น้ำหนักขึ้น ฯลฯ มักจะหงุดหงิดง่าย มีปัญหาเรื่องอารมณ์ เกิดความรู้สึกเบื่อ เซ็ง ซึมเศร้า


Smiley โดพามีน...ฮอร์โมนหนึ่งมิตรชิดใกล้

โดพามีน (Dopamine) ผลิตจากกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) ซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทไปกระตุ้นโดพามีน รีเซพเตอร์ (Dopamine Receptor) ในระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic nervous system) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ โดพามีนยังจัดเป็นนิวโรฮอร์โมน (Neurohormone) ที่หลั่งจากสมองส่วนไฮโปธาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งโปรแลคตินจากกลีบส่วนหน้าของต่อมใต้สมอง (ต่อมพิทูอิทารี) พร้อมกับเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งเป็นพัฒนาการสำคัญของคนกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาว

เมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมาแล้ว จะทำให้เรารู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ยิ่งมีการหลั่งสารนี้มาก คนนั้นก็จะมีความพอใจหรือมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย

มีการจัดให้โดพามีนเป็นสารเคมีแห่งรัก หรือ Chemicals of love ซึ่งมีผู้เคยวิจัยออกมาแล้วว่า โดพามีนนี้มีผลเกี่ยวกับการเลือกคู่หรือจับคู่
หลาย ๆ คนอาจมีการหลั่งสารโดพามีนออกมาน้อยเกินไป หรือเซลล์สมองส่วนที่สร้างโดพามีนตาย พบได้ในผู้สูงอายุ จึงทำให้ผู้สูงอายุบางคนมีอาการทางระบบประสาท คือ โรคพาร์กินสัน มีอาการมือไม้สั่น เกร็ง เคลื่อนไหวช้า เพราะโดพามีนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

หากมีสารโดพามีนหลั่งออกมามากเกินไป ทำให้เป็นคนคิดเร็ว สมองมีการตอบสนองดี สั่งการเร็ว อาจทำให้เป็นคนหุนหันพลันแล่น ไฮเปอร์ หรือก้าวร้าวได้ และถ้ายิ่งมีมากจนเกินขีด อาจกลายเป็นคนหวาดระแวง บ้าคลั่ง มีอาการป่วยทางจิต เพราะสารนี้จะไปกระทบกับสมองส่วนฟรอนทัลที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ ความจำ จากการทดสอบผู้ป่วยโรคจิตเภทก็พบว่ามีสารโดพามีนในสมองมากกว่าคนปกติ
วิธีรักษาความสมดุลของโดพามีนก็คือ พยายามรับประทานอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง อาหารทะเล อัลมอนด์ เมล็ดธัญพืช กล้วย แอปเปิล เพราะโดพามีนผลิตมาจากกรดอะมิโนไทโรซีนที่มีในโปรตีน จะช่วยให้สมองมีพลัง ตื่นตัว รู้สึกกระฉับกระเฉง 


Smiley เอ็นดอร์ฟิน...ฮอร์โมนหลั่งเมื่อฉันฟิน(Endorphin)
ฮอร์โมนนี้ทำให้เรามีความสุข คลายเครียด เมื่อเรามีความสุขกายสบายใจ สารเอ็นดอร์ฟินจะหลั่งออกมามากขึ้น แล้วเข้าสู่กระแสเลือด จนสามารถไปกดการสร้างฮอร์โมนแห่งความเครียด เช่น นอร์เอพิเนฟริน ทำให้เรารู้สึกหายเครียด และยังเป็นผลให้ระดับภูมิคุ้มกัน (antibody) ในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย

เป็นยาระงับปวดตามธรรมชาติ ที่ต่อมใต้สมอง และไฮโปทาลามัสในกระดูกสันหลังสร้างขึ้นมาให้ออกฤทธิ์ไปยับยั้งและบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งการทำงานของเอ็นดอร์ฟินจะคล้าย ๆ กับการทำงานของยามอร์ฟีน (Morphine) ใช้ฉีดระงับความเจ็บปวดให้คนไข้ เอ็นดอร์ฟินยังควบคุมความรู้สึกหิว และเชื่อมโยงกับการผลิตฮอร์โมนเพศด้วย

อยากให้สารเอ็นดอร์ฟินหลั่งมาก ๆ ให้หมั่นออกกำลังกาย และออกไปรับแสงแดดในตอนเช้า จะช่วยกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินได้ อีกวิธีที่ง่ายก็คือ การหัวเราะ เพราะการวิจัยค้นพบว่า การหัวเราะ การยิ้ม การได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่เราพอใจจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้นด้วย หากร่างกายมีสารเอ็นดอร์ฟินมาก ๆ เราก็จะมีความสุข ไม่เครียด ระดับความดันโลหิตก็จะเป็นปกติ สุขภาพจิตดีแบบนี้ สุขภาพกายก็แข็งแรงแน่นอน


Smiley คอร์ติซอล...ฮอร์โมนแห่งความเครียด (แถมโรคอ้วน)
Cortisol เป็นฮอร์โมนที่จะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรามีความเครียด แต่คอร์ติซอล ก็ถูกจัดเป็นฮอร์โมนที่จำเป็น (Essential Hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต หากขาดไปก็จะส่งผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย 

สำหรับฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ถูกผลิตจากต่อมหมวกไต และจะถูกสร้างมากขึ้นในตอนเช้า เพื่อช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง และช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย เพื่อให้เราพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาระหว่างวัน ก่อนที่ระดับของฮอร์โมนจะค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งตกเย็น และนอนหลับไป

แต่หากระหว่างวันเราเกิดความเครียดขึ้นเมื่อใด ร่างกายก็จะยิ่งหลั่งคอร์ติซอลออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อต่อสู้กับความเครียด การที่ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งมากๆจะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกโหยหิว อยากทานอาหารที่ให้พลังงานสูงมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นกลไกของร่างกายที่จะชดเชยพลังงานที่คุณสูญเสียไปกับความเครียด ทำให้เรามีเรี่ยวแรงไปต่อสู้กับความเครียด หมายความว่า ยิ่งเครียดมาก คุณก็ยิ่งอ้วนมากขึ้นเท่านั้น อยากทานอาหารไขมันสูง ขนมหวาน ๆ อย่างบอกไม่ถูก

นอกจากนี้ คอร์ติซอล ยังจะหลั่งออกมามากในคนที่อดหลับอดนอนบ่อย ๆ ร่างกายก็จะอ่อนแอ ก็จะเกิดความเครียดขึ้นตามมา มีงานวิจัยชี้ว่า คนที่นอนน้อยมีโอกาสอ้วนมากกว่าคนที่นอนในระดับปกติ คือ 6-8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม คอร์ติซอล ยังทำหน้าที่ลดการอักเสบของร่างกายด้วย

หากระดับคอร์ติซอลสูงมาก ๆ เป็นเวลานาน ปัญหาที่ตามมาคือ การทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ ทำให้การทำงานของสมองส่วนนี้ลดลง เซลล์ประสาท แขนงประสาทจะลดลง รวมทั้งไปขัดขวางเซลล์ใหม่ ๆ ที่มีการสร้างขึ้นด้วย

ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดยังจะไปกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคตามมาอีก เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ ในผู้หญิงอาจมีปัญหาประจำเดือนขาด ไขมันสะสมมากตามใบหน้า หน้าท้อง ต้นขา ส่วนคุณผู้ชาย ก็ต้องระวังสมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลง

เราควรรักษาระดับคอร์ติซอลให้สมดุล ไม่ให้หลั่งออกมามากเกินไป นั่นคือ "กำจัดความเครียด" อาจหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ ไปเที่ยวกับเพื่อน เดินช้อปปิ้ง ฟังเพลง ดูหนังตลก ทำสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาที นวดคลายเครียด หรือออกกำลังกาย นอกจากจะลดคอร์ติซอลได้แล้ว ยังเพิ่มระดับเอ็นดอร์ฟิน และช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ด้วย  อย่าอดหลับอดนอน และไม่ควรนอนดึกจนเกินไป ดังนั้น อย่าดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ไม่รู้สึกง่วงนอน และเป็นที่มาของอาการนอนไม่หลับ

หากวิธีเหล่านี้ยังไม่ได้ผล ก็ต้องลองหลีกหนีออกจากความเครียดทั้งหลาย หรือจะปรึกษาจิตแพทย์ให้ช่วยให้คำแนะนำ


Smiley อีพีเนฟรีน (อะดรีนาลิน)...ฮอร์โมนหลั่งป้องกันอันตราย

เวลาที่เราโกรธจัด กลัว ตกใจมาก ๆ ตื่นเต้นสุด ๆ ร่างกายของเราจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น เช่น หน้าแดง ตัวสั่น มือสั่น หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นแรง มีกำลังวังชามากขึ้น เป็นผลมาจากฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออีกชื่อว่า อีพีเนฟรีน (Epinephrine)

ฮอร์โมนนี้สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตจะหลั่งออกมาเวลาอยู่ในภาวะตกใจ โกรธ ตื่นเต้น ตกอยู่ในอันตราย เกิดความเครียด เมื่อหลั่งออกมา จะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น คือ
Smiley เปลี่ยนไกลโคเจนในตับให้เป็นกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ทำมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น การเผาผลาญอาหารเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาลSmiley ทำให้แรงดันของโลหิตเพิ่มขึ้นSmiley ทำให้หลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่บริเวณอวัยวะภายในต่าง ๆ ขยายตัว แต่เส้นเลือดขนาดเล็กที่ผิวหนัง และช่องท้องหดตัว และกลูโคสไปให้เซลล์ในร่างกายได้มากขึ้น และเข้าสู่ปอดได้รวดเร็วSmiley กระตุ้นให้หัวใจบีบตัว ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น มีการสูบฉีดโลหิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวมากกว่าปกติ จะได้เตรียมต่อสู้ หรือหนีSmiley กระตุ้นให้หลอดลมขยายตัว เพื่อให้ปอดรับออกซิเจนได้เต็มที่ ทำให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นSmiley รูม่านตาเบิกกว้าง ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น

จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว มีพละกำลังมากขึ้น เพราะเป็นการกระตุ้นให้กลไกของร่างกายทำงานในประสิทธิภาพขั้นสูงสุด จะช่วยเรามีพละกำลังรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และป้องกันตัวได้


ถ้ามีการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินมากเกินไป โดยเฉพาะคนที่เป็นเนื้องอกในต่อมหมวกไตชั้นใน หรือได้รับสารนี้เกินขนาด ย่อมเกิดอันตรายต่อร่างกาย ถ้าแบบไม่รุนแรงจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก น้ำหนักลด แต่น้ำตาลในเลือดสูง ผิวหนังตอบสนองเร็ว แต่ถ้ารุนแรงมาก ๆ ก็มีผลถึงแก่ชีวิต เพราะฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วมากเกินไป จนอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน และยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองแตก แต่หากขาดอะดรีนาลินไปเลย ก็จะทำให้เป็นคนอ่อนแอทั้งทางกายและจิตใจได้เหมือนกัน




Smiley เซโรโทนิน...ฮอร์โมนแห่งความสงบ(Serotonin) 

ใครที่มักมีอารมณ์เหงา เศร้า จนนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนตัวนี้ เซโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนจำเป็นที่ชื่อว่า "ทริปโตเฟน" ที่อยู่ในสมอง มีหน้าที่ควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ควบคุมวงจรการนอนหลับ อุณหภูมิกาย ความดันโลหิต การหลั่งฮอร์โมน การรับรู้ความเจ็บปวด ฯลฯ เป็นเหมือนกับระบบเข็มนาฬิกาของสมอง

หากร่างกายมีสารเซโรโทนินอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย สงบ มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์มั่นคง ไม่แปรปรวน ตอบสนองต่อความเครียดได้ดี แต่ถ้าอยู่ในภาวะเครียด เซโรโทนินจะลดลง เราจะรู้สึกหงุดหงิด ขาดสมาธิ นอนไม่หลับหากมีอาการเจ็บปวดจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น บางคนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า หรือภาวะไบโพลาร์ เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้ายได้

ใครที่ชอบเครียดง่าย หงุดหงิดบ่อย นอนไม่หลับ ลองทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง ปลา จะได้รับกรดอะมิโนรวมทั้งทริปโตเฟนไว้ใช้สร้างสารเซโรโทนินด้วย และควรทานสารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช รวมถึงเห็ด ถั่วเขียว หัวเผือก หัวมัน มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวโพด ผักกาดขาว แคนตาลูป ขนมปัง เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตเฟนให้มากขึ้น

เห็นความมหัศจรรย์ของ 8 ฮอร์โมนเด่น ๆ ในร่างกายแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะได้เกิดความสมดุล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำรงชีวิต


ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus

#Chlorophyll_Plus



ฮอร์โมนที่สัมพันธ์กับความเครียด

ฮอร์โมนที่สัมพันธ์กับความเครียด

       เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรง และมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดัน หรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

       คอร์ติซอล (cortisol) เป็นฮอร์โมนที่จำเป็น (essential hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต ถ้าขาดฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ซึ่งเป็นฮอร์โมนจำเป็นจะมีผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย

       หน้าที่ของ  Cortisol
      1. เพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือด กลูโคคอร์ติคอยด์ได้ชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งการอดอาหาร (hormone of starvation) เพราะว่าจะกระตุ้นเซลล์ตับให้เปลี่ยนกรดไขมันและกรดอะมิโนบางตัวเป็นกลูโคส และเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน (gluconeogenesis) เรียกว่า กลูโคส สแปริ่ง เอฟเฟ็ก (glucose – sparing effect) ซึ่งเป็นขบวนการที่สำคัญ เพราะจะมีผลในการเผื่อน้ำตาลกลูโคสไว้ให้สมองใช้งานได้ตลอดเวลา

      2. กดระบบภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive effect) ยับยั้งกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยลดการสลัดอวัยวะที่ปลูกถ่าย (organ rejection) แต่กลูโคคอร์ติคอยด์จะไม่มีผลต่อภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากภายนอก เช่นการได้รับวัคซีนที่เป็นอิมมูนต่างๆ (immune)

      3. ต่อต้านการอักเสบ (anti inflammatory effect) โดยการลดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาว ไปยังบริเวณที่อักเสบ ลดการเกิดหนอง (exudation) และลดการแพ้สารต่างๆ โดยยับยั้งการหลั่งฮีสตามีน

       แต่เนื่องจากระบบป้องกันตนเอง (defense mechanism) ถูกยับยั้งด้วย ทำให้เกิดผลเสียคือ ทำให้มีการแพร่กระจายของเชื้อโรค ทำให้ติดเชื้อง่าย และทำให้ลดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรีย(helicobacter pylori) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร เพราะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ ความเข้าใจเดิมมีอยู่ว่า ว่าโรคกระเพาะเกิดจากการมีกรดมากเกินไปเท่านั้น เราต้องระวังในการรับประทานสเตรอยด์ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

       อะดรีนาลีน (Adrenaline) เป็น “ฮอร์โมน” สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตของสัตว์ อดรีนาลีนจะหลั่งออกมาขณะที่ โกรธ,ตกใจ,ตื่นเต้น อย่างรุนแรง เป็นวิวัฒนาการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพทางร่างกายในระยะเวลาอันสั้น เลือดสามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ออกซิเจนสามารถเข้าสู่ปอดได้อย่างรวดเร็ว

        Adrenaline เป็นสารแห่งความโกรธ ดุเดือด มีพลัง พร้อมสำหรับการต่อสู้ ป้องกันตัว (Endorphine เป็นสารแห่งความสุข)อะดรีนาลีน เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อ ระบบการหายใจ หัวใจทำงานอย่างหนักและรวดเร็วเพื่อต่อสู้หรือถอยหนี อะดรีนาลีนจะไปกระตุ้นให้กลไกของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ฮอร์โมนนี้จะถูกระต้นให้หลั่งออกมาเมื่อร่างกายเกิดอารมณ์เครียด เช่น โกรธ ตื่นเต้น เป็นต้น เซลล์ที่พบหลักๆ คือเซลล์ในระบบประสาท ซึ่งตัว Epinephrine จะถูกหลั่งเมื่อถูกระตุ้นด้วยระบบประสาท Sympathetic (Sympatetic Nervous System) ผลของ Epinephrine ในระบบร่างกายคือเพิ่มการเต้นหัวใจและแรงดันเลือด ขยายหลอดลม และเพิ่มระดับน้ำตาล ทำให้คนเราสามารถทำงานอะไรได้อย่างที่ทำไม่ได้ตอนปรกติ

       สรุปคือว่าไม่ได้ทำให้ตื่นเต้น แต่การตื่นเต้นทำให้เกิดการหลั่ง และแค่หลั่งเพิ่ม ไม่ได้สร้างใหม่ ฮอร์โมนพวกนี้อยู่ในกลุ่มที่กดการทำงานของสมอง สารกลุ่มนี้จะทำหน้าที่
  • ยับยั้งการส่งข้อมูลของแต่ละเซลล์สมอง 
  • ยับยั้งการเจริญเติบโตของสมองและใยประสาท 
  • ยับยั้งเส้นทางความจำทุกๆส่วน ทำให้คิดอะไรไม่ออก 
  • กระตุ้นให้หัวใจ ระบบไหลเวียนเลือด และร่างกายทำงานผิดปกติ 
   และถ้ามีมากเกินไป จะมีอันตรายต่อทั้งอารมณ์และร่างกาย รวมทั้งทำลายองค์ประกอบภายในของสมองอีกด้วย

ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus