วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

5 สาเหตุทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไม่อยากป่วยง่ายก็ควรหลีกเลี่ยง

5 สาเหตุทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไม่อยากป่วยง่ายก็ควรหลีกเลี่ยง

          ภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีความจำเป็นกับเรามากแค่ไหน เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงทราบ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เราต้องพบเจอกับเชื้อโรคมากมายที่อยู่รอบตัว ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราต้องทำงานหนัก แต่ก็ไม่เพียงแค่สภาพแวดล้อมเท่านั้นที่ส่งผลทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำร้ายระบบภูมิคุ้มกันของเราอีกด้วย  แล้วถ้าอยากให้สุขภาพแข็งแรง คงต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้แล้วล่ะครับ

1. กินของหวานมากเกินไป


          การรับประทานของหวานมากเกินไปไม่ใช่แค่เพียงทำให้คุณอ้วนขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลงอีกด้วย เพราะมีการศึกษาหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition พบว่าการรับประทานน้ำตาล 100 กรัม จะทำให้ความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียในของเม็ดเลือดขาวหยุดชะงักไปถึง 5 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานน้ำตาล

2. ดื่มน้ำไม่เพียงพอ


          เคยสงสัยกันไหมครับว่าทำไมเวลาเราไม่สบายเมื่อไปหาหมอ หมอมักจะบอกให้คุณดื่มน้ำมาก ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าน้ำจะช่วยชำระล้างสารพิษต่าง ๆ ในร่างกายที่เป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ และถ้าหากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้สารพิษที่อยู่ในร่างกายตกค้าง ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ซึ่งโดยปกติคนเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว

3. อ้วนเกินไป


          เรามักจะรู้แต่ว่าการมีน้ำหนักมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อหัวใจ สมอง และอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้ แต่จริง ๆ แล้วการมีน้ำหนักมากเกินไปก็ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 40 เพราะน้ำหนักส่วนเกินจะไปทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความไม่สมดุลและส่งผลให้เกิดการอักเสบและความบกพร่องของภูมิคุ้มกันที่ช่วยในการต่อสู้กับการติดเชื้อต่่าง ๆ

4. จมูกของคุณแห้งเกินไป


          รู้ไหม ครับว่าการที่จมูกของเราแห้งเกินไปก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วยได้เหมือนกัน เพราะโดยปกติแล้วอาการคัดจมูก และน้ำมูกไหลนั้นเป็นขบวนการในการป้องกันโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ เพราะน้ำมูกที่อยู่ในจมูกเป็นตัวที่คอยดักเชื้อโรคและขจัดเชื้อโรคออกจากร่างกาย และการที่จมูกของคุณแห้งเกินไปก็ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการจมูกแห้งควรจะหาน้ำเกลือมาล้างจมูกเพื่อให้จมูกชุ่มชื้นอยู่เสมอ และถ้าหากเป็นบ่อยจนเกินไปก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยครับ

5. ความเครียด


          หลายคนคงจะเคยป่วยเป็นไข้หวัดในช่วงใกล้กำหนดส่งงานชิ้นใหญ่ นั่นก็เป็นเพราะว่าเรามีความเครียดมากเกินไป ซึ่งถ้าหากเรามีความเครียดสะสมก็ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอ และถ้ายิ่งเราเกิดความเครียดในช่วงที่กำลังเป็นไข้หวัดด้วยละก็ อาการก็จะยิ่งหนักกว่าเดิม ดังนั้นอย่าเครียดกันเลยนะครับ

          ระบบภูมิคุ้มกันของเรา เปรียบเหมือนปราการด่านสุดท้ายของร่างกาย ก่อนที่เชื้อโรคต่าง ๆ จะเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ ซึ่งถ้าหากภูมิคุ้มกันอ่อนแอมากเกินไปก็อาจจะทำให้ป่วยได้บ่อยมากขึ้น ซึ่งเราสามารถสังเกตได้ว่าถ้าคุณเป็นไข้หวัดมากกว่า 3 - 4 ครั้งต่อฤดูกาล นั่นก็แปลว่าภูมิคุ้มของคุณกับอ่อนแอมากแล้วล่ะครับ ซึ่งวิธีการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันที่ง่ายที่สุดก็คือการพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะผักและผลไม้ครับ

          เห็นไหมครับว่าสุขภาพไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ดังนั้นอย่าละเลยมันเด็ดขาดเลยครับ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าการที่เราสุขภาพอ่อนแอเราจะพบกับโรคภัยอะไรบ้าง และความร้ายแรงจะมากแค่ไหน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ถ้าหากเราจะต้องเสียเวลาและเสียเงินไปกับการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ จริงไหมครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus
#Mistica



วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

HbA1c หรือ ค่าน้ำตาลสะสม ค่าน้ำตาลเก่า คืออะไร

HbA1c คืออะไร หรือ ค่าน้ำตาลสะสม ค่าน้ำตาลเก่า คืออะไรมาดูกัน
HbA1c คืออะไร ?
ค่าน้ำตาลสะสม คืออะไร ?
ค่าน้ำตาลเก่าคืออะไร ?

 HbA1c คืออะไร
    HbA1c คือ ฮีโมโกลบินชนิดเอ (HbA) ซึ่งเป็นฮีโมโกลบินชนิดที่มีปริมานมากที่สุดในเม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ขนส่ง หรือ เป็นตัวพาออกซิเจนในเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของเรา โดย HbA ปกติแล้วสามารถเกิดการทำปฏิกิริยา Glycation กับน้ำตาลในเลือดของเรา และกลายเป็น HbA1c (glycated hemoglobin) และสะสมอยู่ในเลือดนั้นเองครับ โดยในผู้ป่วยเบาหวานที่มีปริมานน้ำตาลในเลือดสูงก็จะมีการสะสม HbA1c ในเลือดสูงเช่นกัน

 HbA1c บอกอะไรได้บ้าง ?
    เนื่องจาก HbA1c เป็นฮีโมโกลบินที่เกิดจากการทำปฏิกิริยากับน้ำตาลในเลือด เราจึงใช้ประโยชน์ตรงนี้ในการช่วยวินิจฉัยผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อดูปริมาณน้ำตาลของผู้ป่วยทางอ้อมนั้นเองครับ โดยดูว่าผู้ป่วยมีการควบคุมระดับน้ำตาลดีแค่ไหน ซึ่งมีความแตกต่างจากค่าน้ำตาลที่เราอดอาหารแล้วไปตรวจแน่นอนครับ แถมยังมีประโยชน์อย่างมากด้วยครับ
 

 ค่า HbA1c ต่างจากค่าน้ำตาลในเลือดอย่างไร ?
     ต่างกันแน่นอนครับ อย่างที่บอกไปในคำถามที่แล้วว่า เพื่อใช้ดูปริมาณน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยในระยะเวลา ? เดือนที่ผ่านมา ประโยชน์ก็คือ ทรายผู้ป่วยท่านนั้นมีการควบคุมน้ำตาลได้ดีแค่ไหนในระยะเวลา ? เดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าจะมาพบหมอแล้วอดอาหารเพื่อหลอกหมอนั่นเองครับ ^^ ส่วนการตรวจน้ำตาลหรือ glucose ที่ตรวจปกตินั้นก็ดูแค่ช่วงเวลานั้นหรือวันนั้นเฉยๆครับ


 HbA1c บ่งบอกถึงระดับน้ำตาลสะสมเลือด 2-3 เดือนที่ผ่านมา
      ใช่แล้วครับระยะเวลา 2-3 เดือน นั่นคือระยะเวลาของ HbA1c ก่อนที่จะสลายหายไปครับ ปกติแล้ว HbA1c นั่นหมอจะสั่งตรวจเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานแล้วเท่านั้นครับ ไม่ได้ใช่เป็นตัววินิจฉัยโรคเบาหวานครับ



ค่าปกติ ไม่ควรเกิน 6 mg%
      ถ้ามากกว่า 6 mg%  สำหรับผู้ป่วยนั่นถือว่าควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี ซึ่งทำให้ผู้ป่วยคนนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆตามมาได้ครับ เช่น การมองเห็น การทำงานของไต เป็นต้นครับ
***ทั้งนี้ค่าที่ใช้อาจเป็น 7 mg% ขึ้นอยู่กับข้อตกลงในโรงพยาบาลนั้นๆครับ***

ด้วยความปรารถนาดีจาก
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus
#Mistica


วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ยาที่พึงระวัง เพราะอาจเพิ่มความดันโลหิต

ยาที่พึงระวัง เพราะอาจเพิ่มความดันโลหิต
มีรายงานผลการศึกษาของ Harvard School of Medicine ว่าการทานยาแก้ปวดต่อเนื่องมีผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะยาในกลุ่ม พาราเซตตามอล(acetaminophen เช่นTylenol)และ ibuprofen (Advil และ Motrin).
การศึกษานี้กระทำในกลุ่มสตรีจำนวน 5,123 คน ที่มีอายุระหว่าง 34 ปีถึง 77 ปี ที่ระดับความดันโลหิตปกติขณะเริ่มการศึกษา , พบว่า:
1.ผู้ที่ไม่ได้ทานยาดังกล่าวใดๆ มีความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น 1 ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี
2.ผู้ที่ทานยาพาราเซตตามอลเฉลี่ยมากกว่าวันละ 500 mg อัตราเพิ่มของความดันโลหิต 93 ถึง 99เปอร์เซนต์ ภายในสามปี เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทานน้อยกว่า 500 mg.
3.ผู้ที่ทานยา แก้ปวดกลุ่ม NSAIDS 400 mg (เทียบเท่า ibuprofen สองเม็ด) อัตราเพิ่มของความดันโลหิต 60 ถึง 78 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทานน้อยกว่า 400 mg.
ก็สอดคล้องกับระเบียบปฏิบัติจากองค์การอาหารและยา U.S. Food and Drug Administration (FDA) ก่อนหน้านี้ที่ออกมาควบคุมให้ผู้ผลิตยาต้องพิมพ์คำเตือนลงบนฉลากยาข้างขวดว่า
" ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs นี้สามารถเพิ่มอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง แม้กระทั่งภายหลังการทานยาในสัปดาห์แรกก็ตาม "
( “the risk of heart attack or stroke can occur as early as the first weeks of using an NSAID. Plus, the risk appears greater at higher doses.")
นอกจากนี้ FDA ยังได้ออกคำเตือนอีกว่า อาการโรคหัวใจนี้อาจเกิดได้กับทั้งคนที่มีประวัติโรคหัวใจหรือโรคเรื้อรังอื่นๆมาก่อนหรือไม่เคยมีประวัติมาก่อนเลยก็ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยที่ทานยาเหล่านี้ภายในปีแรกหลังจากมีอาการของโรคหัวใจมาก่อนจะมีอตราเสี่ยงมากที่สุด



ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

6 อาการที่ร่างกายแจ้งเตือน ภายใน 1 เดือน ก่อนหัวใจวาย!

ระวัง!! 6 อาการที่ร่างกายแจ้งเตือน ภายใน 1 เดือน ก่อนหัวใจวาย!

หัวใจวาย เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในสหรัฐ ควรรักษาสุขภาพและการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บจากการดำเนินชีวิตของคุณ


เรารู้ว่ามีปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคบางอย่างทางพันธุกรรม แต่ตราบใดที่คุณสามารถดูแลรักษาสุขภาพของคุณให้ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บไข้ได้ป่วย

แต่ด้วยการดำเนินชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่การงาน จึงไม่ง่ายที่จะดูแลรักษาสุขภาพได้อย่างเต็มที่ ก่อให้เกิดปัญหาการเจ็บป่วยรวมถึงโรคหัวใจ ซึ่งเป็นภัยเงียบ คุณไม่เคยรู้ถึงปัญหาจนกว่าจะสายเกินไป เพื่อป้องกันกรณีที่เลวร้ายจะเกิดขึ้น มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องรู้จักกับอาการหัวใจวายก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง

นี่คือ 6 อาการที่ก่อให้เกิดอาการหัวใจวาย




1. ความอ่อนแอ อาจมีสาเหตุเมื่อร่างกายของคุณรู้สึกอ่อนแอ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในทันทีทันใด เป็นไปได้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากหลอดเลือดแดงแคบลง ทำให้คุณไม่มีแรงหมดกำลังวังชา 

2. ความเมื้อยล้า fatique การหดตัวของหลอดเลือดทำให้หัวใจได้รับเกร็ดเลือดต่ำ มันจะทำให้หัวใจทำงานหนัก และทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยมากและง่วงนอนตลอดเวลา

3. อาการเวียนศีรษะและเหงื่อออก การไหลเวียนเลือดติดขัดทำให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะที่สำคัญของร่างการไม่ทั่วถึง รวมไปถึงสมองของคุณด้วย ซึ่งมันเป็นอันตรายมาก อันดับแรกจะทำให้คุณรู้สึกเวียนศีรษะ

4. หายใจถี่เหนื่อยง่าย ปริมาณของเลือดในหัวใจที่ลดลง จะทำให้ปอดไม่ได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ ทั้งสองระบบมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ถ้าคุณรู้สึกมีปัญหาในการหายใจให้ปรึกษาแพทย์ คุณอาจอยู่ในช่วงเวลาที่ถูกโรคภัยไข้เจ็บเล่นงานอยู่

5. แน่นหน้าอก ถ้าคุณรู้สึกอึดอัดแน่นบนหน้าอกของคุณ ไม่ว่าจะมีอาการปวดเล็กน้อย หรือ ความดันขึ้น มีความเป็นไปได้สูงว่าคุณกำลังถูกเล่นงานจากโรค อาการปวดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งมีการโจมตีเกิดขึ้นจริง

6. ไข้หวัดใหญ่หรืออาการหนาวเย็น ไข้หวัดอาจดูเหมือนปัญหาสุขภาพที่ไม่หนักหนาอะไร แต่ถ้าคุณได้ประสบกับมันหลังจากที่รู้สึกว่ามีอาการของโรคบางอย่างที่กล่าวถึง อาจเป็นสัญญาณว่าคุณถูกเล่นงานจากโรค ได้รับรายงานว่าหลายคนเป็นไข้หวัดอยู่หลายวัน ก่อนที่จะถูกโจมตีจากโรคภัย

สิ่งที่คุณควรทำเมื่อพบอาการของโรค

ถ้าคุณหรือบางคนทราบว่ามีอาการดังกล่าวข้างต้น คุณต้องไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด รับการรักษาทันที เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันโรคหัวใจวาย 





สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้

ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156

#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 



วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2559

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน



          โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันหรือโรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคที่พบบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทยปัจจุบันและในขณะนี้พบว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจล้มเหลว มีจำนวนคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันมากเป็นอันดับสองรองจากการประสบอุบัติเหตุ ซึ่งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันนี้มีวิธีในการรักษาอยู่หลายวิธี ได้แก่ การใช้ยาในการรักษา การผ่าตัดต่อหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ (เรียกว่า การผ่าตัดบายพาส) และการใช้บอลลูนเพื่อขยายหลอดเลือดที่ตีบตัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษา ถึงปัจจัยเสี่ยง สาเหตุ อาการและการรักษาของโรคนี้ให้เข้าใจ

อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน



          ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางร้าวไปไหล่ซ้ายและแขนซ้าย บางรายมีปวดร้าวขึ้นไปตามคอ อาการเป็นมากขึ้นเวลา ออกแรง นั่งพักจะดีขึ้น ในรายที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบมากจนตัน จะทำให้มีการขาดเลือดอย่างรุนแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ จนเกิดภาวะ กล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกรุนแรง กระสับกระส่าย เหงื่อออกตัวเย็น ถ้านำส่งโรงพยาบาล ไม่ทัน ก็อาจเสียชีวิตได้

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน
1.เพศ พบว่าเพศชายมีอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันได้มากกว่าเพศหญิง 3 เท่า และมีอัตราการเสียชีวิตในเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 5 เท่า

2.ประวัติครอบครัวเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันก่อนวัยอันควร(ผู้ชาย อายุน้อยกว่า 55 ปี,ผู้หญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี)จะมีความเสี่ยงที่ จะเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
          จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจะเพิ่มอัตราเสี่ยงเป็น 2-20เท่าของผู้ชาย ที่ไม่มี ประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

3. ภาวะไขมันในเลือดสูง
โคเลสเตอรอลสูง โอกาสการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันจะเพิ่มขึ้นตามระดับโคเลสเตอรอลที่เพิ่มขึ้น

ภาวะต่อไปนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
      - โคเลสเตอรอลรวม(Total cholesterol) และ LDL cholesterol สูง
      - HDL cholesterol ต่ำ(จากการศึกษาของ Framingham พบว่าอัตราเสี่ยงการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายจะเพิ่มขึ้น 25%สำหรับทุกๆ 5mg/dLที่ลดลงต่ำกว่าค่ามัธยฐานของ HDL cholesterol ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง)
      - Total cholesterol/HDL cholesterol ratio(อัตราส่วนระหว่างโคเลสเตอรอลและHDL)สูง
         จากการศึกษาพบว่า
• ในผู้ชายที่มีค่า ratio มากกว่าหรือเท่ากับ 6.4 จะมีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2-14%เทียบกับในกลุ่มที่มีค่า total cholesterol หรือ LDL cholesterol ระดับเดียวกัน
• ในผู้หญิงที่มีค่า ratio มากกว่าหรือเท่ากับ 5.6 จะมีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้น 25-45%เทียบกับในกลุ่มที่มีค่า total cholesterol หรือ LDL cholesterol ระดับเดียวกัน
ในทางตรงกันข้ามในคนที่มีระดับ ratio เดียวกัน แม้มีระดับ total cholesterol or LDL เพิ่มขึ้นก็ไม่ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
      ไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) สูง,ระดับ Lp(a)(เป็นไขมันที่เกาะรวมอยู่กับโปรตีนชนิดหนึ่ง เรียกว่า lipoprotein a) สูง
      การรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง เน้นที่การคุมอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลสูงร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าไม่ได้ผลจึงใช้ยาลดไขมันในเลือด
     ผลดีของการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง สามารถลดอัตราการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดและอัตราการเสียชีวิต จากโรคหัวใจ ได้ ทั้งในคนที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อนและผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว

4.ความดันโลหิตสูง
        ภาวะความดันโลหิตสูงทำให้มีกล้ามเนื้อหัวใจโตและเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด,หัวใจล้มเหลว,การเสียชีวิต
ฉับพลัน,การเกิดโรคอัมพาตจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง
       ความดันโลหิตที่สูงไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตตัวบน(systolic blood pressure) หรือความดันโลหิตตัวล่าง(diastolic blood pressure)ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดหัวใจและเส้นเลือดสมองตีบตันได้แต่จะมีผลไม่เท่ากันในอายุที่ต่างกัน
       จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่อายุน้อยกว่า 50ปี ความดันตัวล่างจะมีผลต่ออัตราเสี่ยงมากที่สุด
       ผู้ที่อายุ 50-59 ปี ความดันโลหิตทั้งตัวบน ตัวล่างและค่า pulse pressure (ค่าความแตกต่างระหว่าง ความดันโลหิตตัวบนและตัวล่าง) มีผลต่ออัตราเสี่ยงพอๆกัน
       ผู้ที่อายุมากกว่า หรือเท่ากับ 60 ปี ค่า pulse pressure จะมีผลต่ออัตราเสี่ยงมากที่สุด
      การรักษาโดยการควบคุมอาหาร จำกัดอาหารเค็ม ร่วมกับการใช้ยาลดความดันโลหิตในรายที่ความดันสูงมากหรือเริ่มมีการทำลายอวัยวะภายในร่วมด้วย
      ผลดีของการรักษาสามารถช่วยลดการเกิดภาวะอัมพาตจากสมองขาดเลือด,การเกิดหัวใจล้มเหลว รวมทั้งภาวะหัวใจขาดเลือดได้

5.Pulse pressure(ค่าความแตกต่างระหว่างความดันโลหิตตัวบนและตัวล่าง)
      ในรายที่มีค่า pulse pressure เพิ่มขึ้น จะเพิ่มอัตราเสี่ยงของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

6.เบาหวานและภาวะการควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี( glucose intolerance)
      เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะเส้นเลือดแข็งตีบตัน(atherosclerosis)โดยเฉพาะในผู้หญิง
      การรักษา โดยการควบคุมอาหารจำกัดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ร่วมกับการใช้ยาลดระดับน้ำตาล

7.ภาวะการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน
      การเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันในผู้หญิงจะเพิ่มขึ้นหลังหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
      การรักษา โดยการให้ฮอร์โมนเสริมที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจนและโปรเจสติน

8.ปัจจัยที่เกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิต(Lifestyle factors)
• การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
       ช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตันและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ถึง 23% นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม ระดับ HDL cholesterol , ลดความดันโลหิต , ลดน้ำหนักและช่วยให้การคุมเบาหวานดีขึ้น

• การสูบบุหรี่
       เป็นตัวการสำคัญของการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตัน   ในผู้ที่สูบบุหรี่วันละอย่างน้อย 20 มวนจะเพิ่มอัตราการเกิด กล้ามเนื้อ หัวใจตาย 3 เท่า ในผู้ชาย และ 6 เท่าในผู้หญิงเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ รวมทั้งคนที่สูดควันบุหรี่ก็มีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วย
      -อัตราการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายซ้ำลดลง 50% ภายใน 1 ปีของการหยุดสูบบุหรี่ และกลับมาเท่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ภายใน 2 ปี
      -ประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่จะยังคงอยู่ไม่ว่าจะเคยสูบมานานหรือสูบมามากเท่าไรก็ตาม

• อาหาร
       นอกจากอาหารที่มีไขมันสูงจะเป็นตัวทำให้เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตันแล้ว ยังพบว่าการทานผัก ผลไม้และอาหารที่มีเส้นใย อาหาร สูงจะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตันและอัมพาตจากเส้นเลือดสมองตีบตัน
       การทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงจะช่วยลดอัตราการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตันและอัมพาตจากเส้นเลือดสมองตีบตันลงได้ถึง 40-50% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ทานเส้นใยอาหารต่ำ

• การดื่มสุรา
       มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า การดื่มสุราในขนาดที่เหมาะสมจะช่วยลดอัตราการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตันได้
      จากการศึกษาผู้ชายและผู้หญิงในอเมริกา 490,000 รายที่ดื่มสุราในปริมาณที่เหมาะสมพบว่าอัตราเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดและหัวใจลดลง เหลือ 0.7 ในผู้ชาย และ 0.6 ในผู้หญิง เมื่อเทียบกลุ่มที่ไม่ได้ดื่มสุรา ซึ่งเชื่อว่า แอลกอฮอล์ทำให้มี การเพิ่มของ HDL Cholesterol ได้

       มีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง , ภาวะ glucose intolerance , ภาวะดื้อต่ออินสุลิน , ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น , ระดับ HDL Cholesterolต่ำลง , ระดับ Fibrinogen เพิ่มขึ้น
       ความอ้วนเพิ่มอัตราการเสียชีวิตรวมและที่เกิดจากโรคหลอดเลือดและหัวใจ จากการศึกษาพบว่าคนอ้วน (BMIหรือดัชนีมวลร่างกาย มากกว่า หรือเท่ากับ 40) จะมีอัตราการเสียชีวิตโดยรวมสูงที่สุด คิดเป็น 2.7 เท่าในผู้ชายและ 1.9 เท่าในผู้หญิง
       การศึกษาพบว่าการมีน้ำหนักเพิ่มมากหลังอายุ 20 ปีจะเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน เช่นกัน รายงานในผู้ชายที่ศึกษา 6,874 รายเป็นเวลาเกือบ 20 ปี โดยเทียบกันในกลุ่มอายุ , การออกกำลังกาย , การสูบบุหรี่ใกล้เคียงกัน พบว่า อัตราเสี่ยงของการตายจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ต่ำที่สุดในกลุ่มที่มีน้ำหนักคงที่คือเพิ่มไม่เกิน 4% หลังอายุ 20 ปี
      อัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 1.57 เท่า ในกลุ่มที่มีน้ำหนักเพิ่ม 4-10%
      อัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 2.76 เท่า ในกลุ่มที่มีน้ำหนักเพิ่มมากกว่า 35%


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้
ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156

#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

หน้าที่ของระบบหายใจกับระบบไหลเวียนของเลือด


หน้าที่ของระบบหายใจกับระบบไหลเวียนของเลือด มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันคือ การนำออกซิเจนไปสู่เซลล์ของร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาทิ้ง จึงได้นำทั้ง 2 ระบบ มาไว้ในเรื่องเดียวกัน


1.ระบบหายใจ
      หลอดลมมีหน้าที่ไม่เพียงแต่นำอากาศเข้าออกสู่ปอดเท่านั้น ยังมีหน้าที่ทำความสะอาด ทำให้อบอุ่นและเพิ่มความชื้นให้กับอากาศ ก่อนที่จะหายใจได้ไปจนถึงถุงลมด้วยแรงที่ดูดอากาศเข้าและบีบออกจากปอดมาจากการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะผ่านแรงนี้เข้าไปในช่องปอด พลังงานที่ต้องใช้ส่วนใหญ่ก็เพื่อสู้กับแรงต้านทานของการไหลของอากาศเข้าสู่ปอดและออกจากปอด ใน ระหว่างออกกำลังกาย การหายใจจะเพิ่มมากกว่าตอนพักมากมาย แก๊สทั้ง 2 ชนิดจะถ่ายเทแลกเปลี่ยนกัน ระหว่างอากาศและเลือด ผ่านทางผนังของถุงลม ฮีโมโกลบินจะนำออกซิเจนซึ่งไม่ค่อยละลายในนํ้าเหลืองไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งละลายง่ายในนํ้าเหลืองในรูปไบคาร์บอเนต
ในขณะออกกำลังหนัก การหายใจและการไหลเวียนของเลือดจะต้องทำงานเกือบเต็มที่ สาเหตุหรือกลไกที่ทำให้การหายใจเพิ่มขึ้นขณะออกกำลังกายยังไม่เป็นที่ทราบชัด

2.ระบบไหลเวียนของเลือด
      เลือดจากเส้นเลือดดำของร่างกาย ถ่ายเทเลือดดำสู่หัวใจด้านขวา จากนั้นหัวใจจะบีบเลือดดำนี้เข้าไปในปอด เพื่อให้ปอดฟอกหรือเก็บออกซิเจนกลายเป็นเลือดแดง แล้วไหลวนกลับ ไปสู่หัวใจด้านซ้าย แล้วจึงจะถูกบีบออกไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หัวใจอาจจะส่งเลือดไป ณ ที่ใดในร่างกายได้ตามความต้องการ เช่นที่กล้ามเนื้อที่กำลังออกกำลังอยู่ เส้นเลือดแดงเล็ก ๆ (arteriole) สามารถเปลี่ยนแปลงขนาดได้ จึงทำให้แรงต้านทาน ในหลอดเลือดเปลี่ยนแปลงตามด้วย จากเส้นเลือดแดงเล็ก ๆ จะส่งเลือดผ่านมาที่เส้นเลือดฝอย ซึ่งเป็นที่แลกเปลี่ยนออกซิเจน อาหาร และของเสียจากการเผาผลาญระหว่างเลือดกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ เส้นเลือดดำเล็ก ๆ (venules) ทำหน้าที่กักเก็บเลือดที่ใช้แล้ว ตัวมันเองสามารถจะบีบตัวได้ถ้าจำเป็น (เช่นในกรณีที่เสียเลือด) เพื่อจะได้ส่งเลือดให้กับส่วนอื่นที่ต้องการเลือดได้ กล้ามเนื้อที่กำลังออกกำลังอยู่ จะได้ออกซิเจนจากเลือดมากกว่าในสภาวะพักมาก เช่นกัน การไหลเวียนของเลือดก็ต้องเร็วขึ้นมากขึ้นตามมาด้วย ในทางตรงกันข้ามกล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนจากเลือดเพิ่มขึ้นถึง 70% จากปกติ
     ในบางคราวเกิดขึ้นได้แม้แต่อยู่ในสภาวะพักอยู่ ฉะนั้นจึงไวต่อการอุดตัน หรือการกั้นการไหลเวียนของเลือดเป็นอย่างยิ่ง ดังเช่นในโรคเส้นเลือด หัวใจตีบตันความดันโลหิตจะต้องรักษาระดับไว้ เพื่อที่จะสามารถนำเลือดไปสู่ส่วนต่าง ๆ ได้ การเปลี่ยนแปลงความดันโลหิตจะรับรู้ที่ Baroreceptor ซึ่งจะส่งสัญญาณไปตามระบบประสาทอัตโนมัติ ไปทำให้ปริมาณเลือดที่หัวใจปั๊มออกมา และความต้านทานในหลอดเลือดเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาให้ความดันโลหิตคงที่อยู่ได้
การเพิ่มปริมาณเลือดในหัวใจ จะไปยืดกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ชีพจรเต็นเร็วขึ้น โดยการกระตุ้นประสาทซึมพัตเทติค และโดยการหลั่งอีปิเนฟรีน และนอร์อีปิเนฟรีนของต่อมหมวกไต

ผลของการออกกำลังต่อระบบหายใจ
     เมื่อเริ่มต้นออกกำลังกาย จะมีการเพิ่มการหายใจอย่างปานกลางโดยทันที ซึ่งอาจจะเป็นผลจากสมองสั่งการลงมา หรือเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของกระดูก ข้อ กล้ามเนื้อก็ได้ อีก 2-3 นาทีต่อมา ถ้ายังออกกำลังต่อไป การหายใจจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ คงที่ ไม่เพิ่มต่อไปอีก ช่วงนี้อาจจะเป็นผลจากการกระตุ้นของสารเคมีบางอย่าง ซึ่งกลไกยังไม่เป็นที่ทราบชัด กล้ามเนื้อที่ทำงานจะให้ของเสียออกมาคือคาร์บอนไดออกไซด์และกรดแลคติค และต้องการออกซิเจนมากขึ้นด้วย ในขณะนั้นคาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจนในปอดจะยังคงปกติ นอกจากจะออกกำลังหนักจริง ๆ การที่เลือดมีฤทธิ์เป็นกรดมิได้เป็นผลจากการหายใจ เมื่อหยุดการออกกำลัง การหายใจจะลดลงทันทีเช่นกัน และลงมากกว่าขาขึ้นเสียอีก ต่อจากนั้น จะค่อย ๆ กลับสู่สภาพปกติ แต่ช้ากว่าขาขึ้น
การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้การออกกำลังไม่ได้ทนทาน ซึ่งยังหาคำอธิบายไม่ได้ แต่ที่ทราบแน่ชัดคือ บุหรี่จะเพิ่มแรงต้านทานในหลอดลม และจะขัดขวางการรวมตัวของออกซิเจนกับฮีโมโกลบิน โดยการที่มีคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไปรวมตัวแทน นอกจากนี้นิโคตินยังทำให้เส้นเลือดหดตัวและกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ถึงแม้อยู่ในสภาวะปกติ พวกที่สูบบุหรี่มักมีอาการไอ เสมหะมากและเหนื่อยง่ายกว่าพวกไม่สูบบุหรี่ ถ้าสูบบุหรี่ติดต่อกันหลาย ๆ ปี จะมีการทำลายสุขภาพได้หลายทาง เช่น มะเร็งปอด ถุงลมพอง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคหัวใจบางชนิด และเกิดโรคกระเพาะอาหารได้


ผลการออกกำลังต่อระบบไหลเวียนของเลือด
     การออกกำลังมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อหัวใจและหลอดเลือดได้มากมาย เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับสรีรภาพให้รับกับสภาพการณ์ใหม่ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดใด ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของการออกกำลังกาย โดยทั่วไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดเคลื่อนที่(Dynamic) และชนิดอยู่กับที่ (Static)
การออกกำลังแบบเคลื่อนที่หรือไอโสโทนิค คือการที่กล้ามเนื้อหดตัว แล้วทำให้ความยาวของกล้ามเนื้อนั้นเปลี่ยนไป ในขณะเดียวกันแรงเครียดในตัวกล้ามเนื้อเองกลับเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
การออกกำลังแบบอยู่กับที่หรือไอโสเมตริค คือการที่กล้ามเนื้อหดตัวแล้วแรงเครียด ในกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย แต่ความยาวของกล้ามเนื้อเกือบไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนใหญ่การออกกำลังมักจะเป็นรูปผสม จะไม่เป็นเฉพาะแบบหนึ่งแบบใดแต่อย่างเดียว ตัวอย่างของพวกที่มีการเคลื่อนที่มาก เช่น วิ่ง ว่ายนํ้า ขี่จักรยาน กรรเชียงเรือ เทนนิส แบดมินตัน เป็นต้น พวกที่มีการอยู่กับที่มาก เช่น ยกนํ้าหนัก แบกของ ผลักหรือดันรถ ออกแรงต้านกับของที่ยึดอยู่กับที่ เป็นต้น
นอกจากหัวใจและหลอดเลือด จะเปลี่ยนแปลงตามชนิดของการออกกำลังกายแล้ว ยังเปลี่ยนแปลงตามความหนักเบาของการออกกำลังด้วย เช่น การออกกำลังอย่างเฉียบพลันและรุนแรง หรือการออกกำลังที่ค่อย ๆเป็น ค่อยๆไป นาน ๆ เป็นต้น

การออกกำลังแบบเคลื่อนที่
พวกนี้กล้ามเนื้อทั้งมัดทำงานมาก จึงต้องการออกซิเจนมากตามการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นมาด้วย ดังนั้นจึงมีผลให้ปริมาณเลือดที่ปั๊มจากหัวใจแต่ละนาที ชีพจร และปริมาณเลือดที่ปั๊มจากหัวใจแต่ละครั้งเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะเดียวกันความดันเฉลี่ยในหลอดเลือดแดงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยมีความดันขณะหัวใจบีบตัวเพิ่มขึ้น แต่ความดันขณะหัวใจขยายตัวไม่เปลี่ยนแปลง
ผลเฉียบพลัน ในขณะยืนพักหัวใจปั๊มเลือดออกมีปริมาณ 6 ลิตร/นาที ชีพจร 90/นาที และหัวใจปั๊มเลือดออกได้ 66 ลบ.ซม./ครั้ง เมื่อออกกำลังเต็มที่เลือดที่หัวใจปั๊มออกแต่ละนาที จะเพิ่มถึง4เท่า เป็น24ลิตร/นาที ๆ ชีพจรเพิ่มประมาณ 2 เท่า เป็น 190/นาที และหัวใจ ปั๊มเลือดออกแต่ละครั้งเพิ่มประมาณ 2 เท่า เป็น 126 ลบ.ซม./ครั้ง
ในขณะพัก กล้ามเนื้อได้รับเลือดเพียง 20% ของเลือดที่หัวใจปั๊มออกแต่ละนาที หรือประมาณ 1.2 ลิตร/นาที ขณะออกกำลังเต็มที่กล้ามเนื้อได้รับเลือดเพิ่มขึ้นถึง 90% ของเลือด ที่หัวใจปั๊มออกแต่ละนาที หรือ 21 ลิตร/นาที ซึ่งเกือบเป็น 20 เท่า เพิ่มขึ้นเนื่องจากมี me­tabolism สูงมาก ระหว่างการออกกำลังเต็มที่กล้ามเนื้อจึงต้องการออกซิเจนเกือบ 100% หลอด เลือดที่เลี้ยงอวัยวะต่างหดตัว เช่น ไต ตับ กระเพาะ ลำไส้ และอวัยวะภายในอื่น ๆ เพื่อที่เลือดจะได้ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อให้ทำงานได้เต็มที่ แต่ในขณะที่ออกกำลังเต็มที่นี้ เลือดในหลอด เลือดหัวใจกลับเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว ฉะนั้นในรายที่มีเส้นเลือดแดงอุดตันเพียงแต่ออกกำลังเล็กน้อย ก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้แล้ว สำหรับเลือดที่เลี้ยงสมองจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในขณะออกกำลังกายเต็มที่
ความต้องการออกซิเจนมากที่สุดในขณะออกกำลังเต็มที่ จะมีสัดส่วนโดยตรงกับนํ้าหนักตัว และจะลดลงตามอายุ อายุที่มีความต้องการออกซิเจนมากที่สุดอยู่ระหว่าง 15 ถึง 20 ปี จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง จนอายุ 60 ปี จะเหลือเพียง 2/3 ของคนอายุ 20 ปี นอกจากนี้ความต้องการออกซิเจนมากที่สุดยังขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำอยู่ เช่นในคนหนุ่มสาวปกติขณะให้นอนพัก นาน 3-6 อาทิตย์ ความต้องการออกซิเจนมากที่สุดจะลดลง 20-25% จากเดิม ในทางตรงกันข้าม ในคนมีอายุนั่ง ๆ นอน ๆ สามารถจะเพิ่มขึ้นได้ 33% ภายหลังจากฝึกออกกำลังกายอย่างหนักติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน
ความแตกต่างของออกซิเจนในหลอดเลือดแดงกับหลอดเลือดดำในขณะพัก เท่ากับ 5.6 ลบ.ซม./100 ลบ.ซม. ของเลือด แต่จะเพิ่มเป็น 15.8 ลบ.ซม./100 ลบ.ซม. ของเลือด เมื่อออกกำลังกายเต็มที่ ความจริงออกซิเจนในเลือดแดงไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนักมักจะคงที่ แต่ออกซิเจนในเลือดดำจะเปลี่ยนได้มาก สำหรับกล้ามเนื้อหัวใจความแตกต่างของออกซิเจนใน หลอดเลือดแดงกับหลอดเลือดดำจะสูงมากในขณะพัก คือประมาณ 14 ลบ.ซม./100 ลบ.ซม. ของเลือด ดังนั้นหัวใจจึงเกิดสภาวะขาดเลือดมาเลี้ยงได้ง่าย เมื่อมีโรคของเส้นเลือดนี้
ผลภายหลัง ผลที่สำคัญที่สุดคือ การเพิ่มความต้องการออกซิเจนมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ความสามารถของการทำงานของหัวใจเพิ่มมากขึ้น และทำให้ผู้นั้นออกกำลังได้มากขึ้นและนานขึ้น ก่อนที่จะเกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยหรือเจ็บหน้าอก โดยทั่ว ๆ ไปความต้องการออกซิเจนมากที่สุดจะเพิ่มขึ้น 33% ในคนแข็งแรงอายุ 20 ปี ค่อนข้างกระฉับกระเฉงจะมีความต้องการออกซิเจนมากที่สุดประมาณ 45 ลบ.ซม./กก./นาที นักกีฬาโอลิมปิคประเภททนทานมักจะมี ความต้องการออกซิเจนมากที่สุด 75-80 ลบ.ซม./กก./นาที คนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ยากที่จะมีความต้องการออกซิเจนมากที่สุดถึง 55 ลบ.ซม./กก./นาที ได้
ผลอีกอย่างหนึ่งคือ การเพิ่มปริมาณเลือดที่มากที่สุดที่ปั๊มจากหัวใจแต่ละครั้งและปริมาณเลือดที่มากที่สุดที่ปั๊มจากหัวใจแต่ละนาที ส่วนชีพจรสูงสุดเกือบไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในขณะที่ออกกำลังยังไม่ได้เต็มที่ ชีพจรกลับจะลดลงเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณเลือดที่ปั๊มจากหัวใจ แต่ละครั้งที่เพิ่มขึ้น สำหรับความแตกต่างของออกซิเจนในหลอดเลือดแดงกับหลอดเลือดดำ จะเพิ่มมากขึ้น

การออกกำลังแบบอยู่กับที่
ความดันเฉลี่ยในหลอดเลือดแดงเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งตรงข้ามกับพวกเคลื่อนที่ แต่ขณะเดียวกันชีพจรและเลือดที่หัวใจปั๊มออกแต่ละนาทีเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทั้งความดัน ขณะที่หัวใจบีบตัวและขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งคู่
ผลเฉียบพลัน การทำให้กล้ามเนื้อแขนข้างเดียวเกร็งหดตัวแบบอยู่กับที่ก็จะทำให้ความดันเฉลี่ยในหลอดเลือดแดงเพิ่มขึ้นได้มาก (50-70 มม.ปรอท) เลือดที่หัวใจปั๊มออกแต่ละนาทีเพิ่มเล็กน้อย 1-2ลิตร/นาที ชีพจรเพิ่มขึ้นพอประมาณ 30-40 ครั้งต่อนาที เลือดที่ปั๊มออกจากหัวใจ แต่ละครั้งคงที่ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนหนุ่มสาวที่แข็งแรง แต่อาจเกิด อันตรายกับคนไข้ที่มีการเต้นของหัวใจไม่สมํ่าเสมอ หรือคนที่มีโรคหัวใจอยู่แล้วได้
การเพิ่มชีพจรและความดันโลหิต ขณะออกกำลังแบบอยู่กับที่จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความเครียดที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อที่กำลังออกกำลังอยู่ ถ้าเกร็งกล้ามเนื้ออยู่นานและกล้ามเนื้อนั้นจะขาดออกซิเจน และกล้ามเนื้อต้องกลับมาใช้พลังงานที่มิได้อาศัยออกซิเจน ฉะนั้น การออกกำลังชนิดนี้จึงมีขีดจำกัดมาก
ผลภายหลัง การออกกำลังแบบอยู่กับที่สามารถเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อและขนาดกล้ามเนื้อได้อย่างมาก แต่ไม่มีผลทำให้ความต้องการออกซิเจนมากที่สุดเพิ่มเลย ไม่ว่าจะออกกำลังให้หนัก และนานเท่าใด ตัวอย่างเช่น นักมวยปลํ้ากับนักยกนํ้าหนักจะมีความต้องการออกซิเจนมากที่สุด มากกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พวกออกกำลังแบบเคลื่อนที่จะมีหัวใจที่ใหญ่กว่า และมีปริมาณออกซิเจนที่ได้จากการบีบของหัวใจแต่ละครั้งมากกว่าพวกออกกำลังแบบอยู่กับที่ เช่นฝาแฝดคู่หนึ่งฝึกการออกกำลัง คนละชนิดเป็นเวลานานปี (ยกนํ้าหนักและวิ่งทน) คนที่ยกนํ้าหนักมีนํ้าหนักตัวมากกว่าคนวิ่งทน 16กก. แต่นักยกนํ้าหนักมีปริมาตรของหัวใจน้อยกว่านักวิ่งทน150ลบ.ซม. และมีความต้องการออกซิเจนมากที่สุดน้อยกว่า 0.7 ลบ.ซม./กก./นาที
สำหรับคนไข้ที่มีโรคหัวใจ การออกกำลังแบบอยู่กับที่เป็นการออกกำลังกายที่ไร้ประโยชน์ สู้ชนิดเคลื่อนที่ไม่ได้ นอกจากนี้การออกกำลังแบบอยู่กับที่อย่างหนักควรจะหลีกเลี่ยงเสียด้วย



ระบบหายใจ, ระบบไหลเวียนเลือด
บทความแนะนำ
เล่นเวท นานแค่ไหน กี่เดือน กี่ปี จึงเห็นผล?: เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ผู้เริ่มต้นเล่นเวทอยากรู้ว่า จะต้องใช้เวลาฝึกฝนนานสักเพียงใด จึงจะเห็นผลจากการเล่นเวทที่ชัดเจนจนรู้สึกได้ ใครๆก็ทักว่ารูปร่างดีขึ้น
โภชนบำบัด: โภชนบำบัด (Therapeutic Nutrition หรือ Diet Therapy) หมายถึงการใช้อาหาร และความรู้ด้านโภชนศาสตร์รักษาโรคของผู้ป่วย โดยดัดแปลงอาหารธรรมดาให้เหมาะกับโรคหรือความต้องการของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามสรีรวิทยาขณะเจ็บป่วย จุดประสงค์ของโภชนบำบัด 1. ขจัดการขาดสารอาหารต่างๆ ให้หมดไป และป้องกันการขาดสารอาหารในโอกาสต่อไปด้วย 2. ให้อวัยวะที่พิการได้พักการทำงานชั่วคราว 3. เพื่อช่วยเหลืออวัยวะที่พิการให้สามารถรับเอาอาหารพอกับกำลังที่จะเผาผลาญได้ 4. เพื่อดำรง […]
โภชนาการสำหรับนักกีฬา: นักกีฬาก็เหมือนคนทั่วไป ต้องรับประทานอาหารซึ่งให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรท ไขมัน วิตะมิน เกลือแร่ และน้ำอย่างเพียงพอ แต่นักกีฬาเป็นผู้ที่ออกกำลังมาก และในการออกกำลังก็ต้องใช้พลังงานมาก ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาของร่างกายทุกส่วน เซลล์และเนื้อหนังบางส่วนมีการสึกหรอ จึงต้องมีการสร้างเสริมและซ่อมแซมให้ดีเป็นปรกติ แต่การจะเป็นดังนี้ได้ก็ต้องได้รับอาหารที่ดี มีคุณค่าครบตามหลักโภชนาการ คือแต่ละวันต้องได้รับอาหารหลัก 5 หมู่ครบ เพื่อนักกีฬาได้รับอาหารทุกอย่างครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย แต่เนื่องจากนักกีฬาต้องออกกำลัง และต้องการความสมบูรณ์มากกว่าคนปรกติ […]
โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ: (Nutrition for old Age) “ผู้สูงอายุ” หมายถึงผู้ที่มีอายุสูงกว่า 40 ปี ซึ่งอาจแบ่งเป็น “วัยกลางคน” อายุ 40-60 ปี และ “วัยชรา” อายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุหรือคนแก่นี้มีโอกาสเป็นได้ทั้งโรคขาดอาหาร และเกินอาหาร […]
โภชนาการสำหรับผู้ใหญ่: (Nutrition for Adult) ผู้ใหญ่ในที่นี้หมายถึงผู้มีอายุระหว่าง 20-40 ปี คนเราเมื่ออายุล่วงเลย 20 ปีไป ความเจริญเติบโตจะถึงขีดสุด เมื่อเปรียบเทียบกับวัยรุ่นวัยนี้มีความต้องการโปรตีนและแคลเซียมน้อยลงทั้งหญิงและชาย ส่วนความต้องการวิตะมิน เอ ซี และ ดี ยังเท่ากับวัยรุ่น ผู้ชายยังต้องการธาตุเหล็กมาก แต่ผู้หญิงต้องให้ได้มากกว่า ผู้ใหญ่ต้องการแคลอรี่น้อยกว่าวัยรุ่น […]
โภชนาการสำหรับเด็กวัยรุ่น: (Nutrition for Adolescence) ทางโภชนาการกำหนดให้วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาวมีอายุระหว่าง 16-20 ปี ผิดกับทางจิตวิทยาซึ่งจัดวัยรุ่นมีอายุระหว่าง 10-21 ปี เด็กวัยรุ่นเจริญเติบโตทางด้านน้ำหนักและส่วนสูงอย่างรวดเร็วมากกว่าวัยอื่นๆ ยกเว้นวัยทารก การเจริญเติบโตของเด็กชายและเด็กหญิงไม่เหมือนกัน ทางจิตวิทยาถือว่าเด็กหญิงวัยรุ่นเติบโตมากเมื่ออายุ 10-12 ขวบ ส่วนเด็กชายจะเริ่มเมื่ออายุ 13-15 ปี แต่โดยเฉลี่ยแล้วเมื่อ อายุ […]

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้
ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus



วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

โรคลมอัมพาต

โรคลมอัมพาต

ชื่ออื่นๆ โรคหลอดเลือดสมอง โรคลมปัจจุบัน อัมพาตครึ่งซีก โรคลมอัมพาตหมายถึง อาการแขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตขึ้นฉับพลัน มักมีสาเหตุได้หลากหลาย ควรรีบพาผู้ป่วยไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลทันที หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ก็อาจจะช่วยให้หายเป็นปกติหรือลดความรุนแรงลงได้

สาเหตุ
โรคนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่  ซึ่งมีอาการแสดงความรุนแรง  และวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน  ดังนี้
      1. สมองขาดเลือดจากการอุดตัน (ischemic stroke) พบได้ปริมาณร้อยละ 80 ของโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย ได้แก่
 หลอดเลือดสมองตีบ (thrombotic stroke)  เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ ซึ่งจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย ในที่สุดจะมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นไปอุดตันหลอดเลือด ทำให้เซลล์สมองตายเพราะขาดเลือด มักพบในผู้ที่เป็นโรคความดันเลือดสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และผู้ที่สูบบุหรี่จัด

 นอกจากนี้ ก็ยังอาจจะพบในผู้ที่มีรูปร่างอ้วน  ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง   ถ้าสูบบุหรี่ร่วมด้วย) และผู้ที่มีอายุมาก (มากกว่า 55 ปี ในผู้ชาย และ 65 ปีในผู้หญิง) โรคหลอดเลือดสมองตีบ  เป็นสาเหตุของโรคลมอัมพาตที่พบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่นๆ
 ภาวะลิ่มเลือดหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือด สมอง (embolic stroke) มักเกิดจากมีลิ่มเลือดที่อยู่นอกสมอง หลุดลอยตามกระแสเลือดขึ้นไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองตายเพราะขาดเลือด ที่พบบ่อยคือ ลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นที่หัวใจ ในผู้ ที่เป็นโรคหัวใจ (เช่น หัวใจเต้นแผ่วระรัวผิดจังหวะ (atrial  fibrillation) โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น

      2. หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) พบได้ประมาณร้อยละ 20 ของโรคหลอดเลือดสมอง  ถือว่าเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็วได้ มีอัตราตายโดยเฉลี่ยร้อยละ 40 - 50 ถ้าพบในผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีสาเหตุจากโรคความดันเลือดสูงที่เป็นรุนแรงเนื่องจากขาดการรักษาอย่างจริงจัง หรือเป็นโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากไม่มีอาการผิดปกติ (เปรียบเหมือนภัยมืดที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย)  แต่ถ้าพบในวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน ก็อาจมีสาเหตุจากการมีหลอดเลือดแดงที่ผิดปกติในสมอง  ซึ่งมักเป็นมาแต่กำเนิด และมาแตกเอาตอนโตขึ้น ทำให้มีเลือดออกในสมอง

 บางรายอาจเกิดจากภาวะการแข็งตัวของเลือด บกพร่อง เช่น เป็นโรคตับแข็ง (ซึ่งไม่สามารถสร้างสารกระตุ้นการแข็งตัวของเลือด) เป็นโรคเลือดบางชนิดที่ทำให้เลือดออกง่าย กินยาแอสไพรินเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจและสมอง แต่มีผลข้างเคียงคือ ทำให้มีเลือดออกในสมองได้
 บางรายอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอ-ฮอล์จัด หรือเนื้องอกในสมองที่มีเลือดออก
 
อาการ
1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมอัมพาต เนื่องจากหลอด เลือดสมองตีบ มักมีประวัติเป็นโรคความดันเลือดสูง  เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด อายุมาก อ้วน หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคอัมพาต แล้วอยู่ๆ ก็มีอาการแขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรงลงทันทีทันใด อาจเกิดขึ้นขณะตื่นนอน ขณะเดินหรือทำงานอยู่ก็รู้สึกทรุดล้มลงไป (อาจทำให้เข้าใจผิดว่า อาการล้มลงเป็นต้นเหตุทำให้เป็นอัมพาต) ผู้ป่วยอาจจะมีอาการแขนขาชา เกร็งตามแขนขา ตามัว มองเห็นภาพซ้อน พูดไม่ได้หรือพูดอ้อแอ้ ปากเบี้ยว หรือกลืนไม่ได้ร่วมด้วย

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ  เห็นบ้านหมุน หรือมีอาการสับสนนำมาก่อนที่จะมีอาการอัมพาตของแขนขา ผู้ป่วยมักมีอาการผิดปกติที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเพียงซีกเดียว กล่าวคือ ถ้าการตีบตันของ   หลอดเลือดเกิดขึ้นในสมองซีกขวา ก็จะเกิดอัมพาตของแขนขาซีกซ้าย แต่ถ้าการตีบตันของหลอดเลือดเกิดขึ้นที่สมองซีกซ้าย ก็จะมีอาการอัมพาตของแขนขาซีกขวา และบางรายอาจมีอาการพูดไม่ได้ร่วมด้วย (เนื่องจากศูนย์ควบคุมการพูดอยู่ในสมองซีกซ้ายถูกกระทบด้วย)
ผู้ป่วยส่วนมากจะรู้สึกตัวดี หรืออาจจะซึมลงเล็กน้อย ยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรง อาจมีอาการหมดสติได้  หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการอัมพาต มักเป็นอยู่นานกว่า 24 ชั่วโมง และอาจจะเป็นอยู่นานเป็นแรมเดือน แรมปี หรือตลอดชีวิต บางรายอาจจะมีอาการอัมพาต ประมาณ 2 - 30 นาที (น้อยรายอาจเป็นนานเป็นชั่วโมง ไม่เกิน 24 ชั่วโมง) และหายได้เองโดยไม่ได้รับการรักษาใดๆ    อาการดังกล่าวเกิดจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ เป็นอาการเตือนนำมาก่อน เป็นโรคอัมพาตประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี

2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมอัมพาตเนื่องจากลิ่มเลือด หลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดสมอง จะมีอาการแบบ เดียวกับอาการดังกล่าวข้างต้น แต่อาการอัมพาตมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที  โดยไม่มีอาการเตือนมาก่อน ผู้ป่วย อาจมีประวัติเป็นโรคหัวใจ  หรือเคยผ่าตัดหัวใจมาก่อน

3. ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเนื่องจากหลอดเลือดสมองแตก อาการมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที โดยไม่มีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า บางรายอาจเกิดอาการขณะทำงาน ออกแรงมากๆ หรือขณะร่วมเพศ ผู้ป่วยอาจบ่นปวดศีรษะ รุนแรงหรือปวดศีรษะซีกเดียว อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย แล้วต่อมาก็มีอาการปากเบี้ยวพูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง อาจชักและหมดสติในเวลาอันรวดเร็ว
 
การแยกโรค
อาการแขนขาชาหรืออ่อนแรง มักมีสาเหตุจากความผิดปกติของสมองและไขสันหลัง นอกจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมองแล้ว ยังอาจเกิดจากเนื้องอกในสมองหรือไขสันหลัง การติดเชื้อในสมองหรือไขสันหลัง การได้รับบาดเจ็บที่สมองหรือไขสันหลัง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเกิดจากภาวะใดก็ควรส่งตัว   ผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลทันที

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการแสดงเป็นหลักและจำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ โดยการถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์  ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจคลื่นหัวใจ เจาะหลัง  และอื่นๆ
 
การดูแลตนเอง
ถ้าพบมีอาการแขนขาเป็นอัมพาต ควรรีบพาผู้ป่วย ไปโรงพยาบาลทันที เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาแต่เนิ่นๆ หลังจากได้รับการรักษาจนพ้นระยะอันตราย หรือสามารถกลับไปอยู่บ้านได้ ก็ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำ ของแพทย์อย่างเคร่งครัด และติดตามรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยควรงดบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบซ้ำ
 
การรักษา
แพทย์มักจะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล  และให้การรักษาตามสาเหตุ  เช่น
1. ถ้าพบว่าเกิดจากสมองขาดเลือดจากลิ่มเลือดอุดกั้น แพทย์อาจให้ยาละลายลิ่มเลือด ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อเปิดทางให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง ทำให้เซลล์สมองไม่ตาย ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนสู่ปกติได้เร็ว ยานี้จะได้ผลดีต้องให้ภายใน 3 ชั่วโมงหลังมีอาการ หลังอาการคงที่แล้ว แพทย์จะให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (นิยมให้แอสไพริน ขนาด 75 - 325 มก.กินทุกวัน) ให้ยาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ยาลดความดันเลือด ยาเบาหวาน ยาลดไขมันในเลือด เป็นต้น ทำการฟื้นฟูร่างกายด้วยการทำกายภาพ บำบัด ในรายที่ตรวจพบมีหลอดเลือดแดงที่คอตีบ  อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดหลอดเลือด  หรือใช้บอลลูนขยายหลอดเลือด

2. ถ้าพบว่าเกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ก็ให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้น้ำเกลือใส่ท่อหายใจ และเครื่องช่วยหายใจ ควบคุมความดันเลือด (ถ้าสูงรุนแรง) ในรายที่มีก้อนเลือดในสมอง อาจจำเป็น ต้องทำการผ่าตัดสมองแบบเร่งด่วน ส่วนในรายที่มีเลือดออกเพียงเล็กน้อย และไม่กดถูกสมองส่วนที่สำคัญ  ก็อาจไม่ต้องผ่าตัด เมื่อรักษาจนผู้ป่วยปลอดภัยแล้วก็จะทำการฟื้นฟูร่างกายด้วยการทำกายภาพบำบัด

ภาวะแทรกซ้อน
อาจกลายเป็นโรคอัมพาตเรื้อรัง ซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันไป ขึ้นกับความรุนแรง และสภาพร่างกายของผู้ป่วย  ในรายที่ลุกนั่งไม่ได้ หรือนอนแบ็บอยู่บนเตียงนอน  อาจเกิดแผลกดทับที่ก้น หลัง หรือข้อต่อต่างๆ บางรายอาจสำลักอาหารเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจหรือปอดอักเสบได้ อาจเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ง่าย หรือเป็นแผลถลอกที่กระจกตาดำ นอกจากนี้ อาจมีความเครียดทางจิตใจ หรือโรคซึมเศร้าในผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
 
การดำเนินโรค
ในรายที่เกิดจากสมองขาดเลือดจากลิ่มเลือด อุดตัน ถ้ามีอาการเล็กน้อย และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ก็อาจหายเป็นปกติ หรือฟื้นคืนสภาพได้จนเกือบเป็นปกติ จนช่วยตนเองได้ พูดได้ เดินได้ แต่อาจใช้มือได้ไม่ถนัด

ในรายที่เป็นรุนแรงหรือได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที  ก็มักจะมีความพิการหรือบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งต้องการการดูแลจากผู้อื่น  นั่งรถเข็น  หรือใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน
ส่วนน้อยที่จะพิการรุนแรง จนต้องนอนแบ็บอยู่บน เตียง และต้องการผู้ดูแลตลอดเวลา หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ขณะพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาล โดยทั่วไป การฟื้นตัวของร่างกายมักจะต้องใช้เวลา  ถ้าจะดีขึ้นก็จะเริ่มมีอาการดีขึ้นให้เห็นภายใน 2 - 3 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถช่วยตนเองได้ หรือหายจนเกือบเป็นปกติ   ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหลัง 6 เดือนไปแล้ว ก็มักจะพิการอย่างถาวร  ซึ่งมากน้อยขึ้นกับความรุนแรงของโรค  และสภาพร่างกายของผู้ป่วย   ในรายที่เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ผลการ รักษาขึ้นกับตำแหน่ง และปริมาณของเลือดที่ออก   สภาพของผู้ป่วย (อายุ โรคประจำตัว) และการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ

ถ้าเลือดออกในก้านสมอง จะมีอัตราการตายสูงถึงร้อยละ 90 - 95 ถ้าก้อนเลือดขนาดใหญ่ และแตกเข้าโพรงสมอง จะมีอัตราการตายถึงร้อยละ 50
ถ้าเลือดออกที่บริเวณผิวสมอง หรือก้อนเลือดขนาด เล็ก และไม่แตกเข้าโพรงสมองจะมีอัตราการตายต่ำ
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง  หากรอดชีวิตก็มักจะมีความพิการอย่างถาวร บางรายอาจจะกลายสภาพเป็นผัก หรือคนนิทรา อยู่นานหลายปี ในที่สุดมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โรคติดเชื้อ ต่างๆ
ส่วนผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ซึ่งมักเกิดจากการแตกของ หลอดเลือดผิดปกติมาแต่กำเนิด ถ้าแตกตรงตำแหน่ง ที่ไม่สำคัญ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมาตั้งแต่แรก  มักจะสามารถฟื้นหายได้เป็นปกติ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดสมอง แม้ว่าร่างกายจะฟื้นตัวได้ดี แต่ก็คงมีโรคลมชักจากแผลเป็นในสมอง  แทรกซ้อนตามมาได้ ซึ่งต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป
 
การป้องกัน
1. งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด ลดอาหารที่มีไขมันมาก กินผักและ ผลไม้ให้มากๆ ถ้าน้ำหนักเกินควรลดน้ำหนัก และหมั่น ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบ
2. หมั่นตรวจวัดความดันเลือด เบาหวาน ภาวะ ไขมันในเลือด ถ้าพบว่าผิดปกติ ควรรักษาอย่างจริงจัง  เพื่อควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัมพาต
3. ถ้าเคยมีอาการอัมพาตชั่วคราวจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ หรือเคยเป็นโรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์ และกินยาแอสไพริน  หรือยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด ตามแพทย์สั่งเป็น ประจำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน
 
ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยความดันเลือดสูง เบาหวาน ไขมันเลือดสูง คนอ้วน ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด โรคนี้นับว่าเป็นสาเหตุของความพิการทางร่างกาย ที่พบได้บ่อยในวัยกลางคนและวัยสูงอายุ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้
ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus



Cr : นานาสาระ กับ เคล็ดลับสุขภาพดี

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

ยาโรคหัวใจ กับข้อควรระวัง

ยาโรคหัวใจ กับข้อควรระวัง

     ยาที่เกี่ยวกับโรคหัวใจมีหลายประเภท ขึ้นกับปัญหาและอาการของคนไข้โรคหัวใจนั้น การใช้ยาโรคหัวใจไม่ถูกต้อง จะต้องอาศัยความรู้ในเรื่องโรคหัวใจพอสมควร จะต้องติดตามเฝ้าดูการใช้ยาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในระยะแรก และจะต้องหยุดยาทันทีที่เกิดพิษจากยาหรือสงสัยว่าจะเกิดพิษจากยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยสามารถไปโรงพยาบาลได้ ควรจะให้ผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องเสียก่อน จึงจะให้ยาได้ถูกต้องยิ่งขึ้น

     แม้ว่าโรคหัวใจจะมีหลายแบบหลายอย่าง แต่ปัญหาหรืออาการที่ทำให้คนไข้โรคหัวใจไม่สบายอาจจะแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจ ก็จะขอกล่าวถึงยารักษาโรคหัวใจตามกลุ่มอาการดังกล่าว

1. กลุ่มที่มีอาการเหนื่อยหอบ และ/หรือบวม
     คนไข้ที่มีอาการเหนื่อยหอบและบวมพร้อมกันหรือต่อเนื่องกัน เกือบทั้งหมดจะอยู่ในภาวะหัวใจทำงานไม่ไหว (ภาวะหัวใจล้ม หรือ ภาวะ หัวใจวาย) ทำให้เลือดไปคั่งในปอดจึงหอบเหนื่อย และเลือดคั่งในส่วนอื่นของร่างกายโดยเฉพาะส่วนล่าง เช่น เท้า ขา จึงบวมที่เท้าและขา แต่ถ้าคนไข้หอบหรือเหนื่อยโดยไม่บวม อาจจะเกิดจากหัวใจหรืออวัยวะอื่นก็ได้ เช่น ปอด (โรคปอดบวม โรคหลอดลมอักเสบ เป็นต้น) สมอง (โรคจิต โรคประสาท โรคสมองอักเสบ เป็นต้น) หรือถ้าคนไข้บวม โดยไม่หอบหรือเหนื่อย อาจจะเกิดจากหัวใจหรืออวัยวะอื่นก็ได้ เช่น ไต (โรคไตอักเสบ โรคไตเรื้อรัง), ตับ (โรคตับแข็ง โรค ตับเรื้อรัง), หลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง (อักเสบหรืออุดตัน เป็นต้น)
     ดังนั้น ถ้าคนไข้หอบเหนื่อย หรือบวมเพียงอย่างหนึ่งอย่างเดียว จะไปทึกทักหรือคิดว่าเป็นโรคหัวใจไม่ได้ และแม้ว่าคนไข้จะหอบเหนื่อยและบวมพร้อมๆ กัน คนไข้ก็อาจจะไม่ได้เป็นโรคหัวใจก็ได้ แต่คนไข้จะอยู่ในภาวะหัวใจทำงานไม่ไหว ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคเลือด (เช่น ซีดมากๆ), โรคไต (ที่เป็นรุนแรงจนซีด หรือความดันเลือดสูง), โรคขาดอาหารอย่างรุนแรง ก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าคนไข้หอบเหนื่อยและบวม ยาที่ใช้ในภาวะนี้จะคล้ายกันไม่ว่าจะเป็นจากโรคอะไร ยาที่ใช้ คือ
1.1 ยาขับปัสสาวะ เช่น ยาฮัยโดรคลอโรไธอะไซด์ (Hydrochlorothiazide) ยาฟูโรเซไมด์ (Furosemide)

1.2  ยาประเภทดิจิตาลิส (Digitalis)
ยาในกลุ่มนี้ประกอบด้วยยาหลายชนิด ซึ่งที่นิยมใช้กันบ่อยมากที่สุดได้แก่ ดิจ๊อกซิน (Digoxin) นอกจากนี้ตัวอื่นที่มีใช้อยู่ที่สำคัญได้แก่ ดิจิต๊อกซิน (Digitoxin) และลานาโตไซด์ (Lanatoside)
ยาประเภทนี้ทั้งหมดมีผลโดยตรงต่อหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหดตัวแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลให้หัวใจสามารถผลักดันเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ดีขึ้น อาการที่เกิดจากภาวะหัวใจทำงานไม่ไหว เช่นอาการหอบ เหนื่อยและบวม จึงดีขึ้น ยานี้ทำให้หัวใจเต้นช้าลงด้วย แต่ในคนปกติหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่แล้ว ยานี้จึงไม่ทำให้หัวใจทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดพิษได้อีกด้วย ส่วนในคนที่เกิดภาวะหัวใจล้มหรือหัวใจวายนั้น กล้ามเนื้อหัวใจสามารถจะตอบสนองต่อยาจนบีบเลือดออกจากหัวใจได้มากขึ้น ทำให้การคั่งของเลือดในอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ลดลง ผู้ป่วยจะมีปัสสาวะมากขึ้น เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้น อาการบวมลดลง
     เนื่องจากยานี้มักจะถูกเรียกกันทั่วๆ ไปว่าเป็น ‘‘ยาบำรุงหัวใจ” ซึ่งที่จริงแล้ว ยานี้ไม่ได้ไปบำรุงหัวใจ แต่ไปกระตุ้นให้หัวใจทำงานมากขึ้น การที่เรียกว่า ‘‘ยาบำรุงหัวใจ” ก็เพราะเรียกกันอย่างนั้นมานาน ทำให้มีการนำยานี้ไปใช้บำรุงหัวใจ ขอเน้นว่าห้ามใช้ยานี้ในคนที่หัวใจปกติเด็ดขาด และเนื่องจากยามีพิษสูงมาก จึงไม่ควรใช้ยานี้โดยไม่จำเป็น แม้แต่ในสถาบันการแพทย์ที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคหัวใจ เเละเครื่องมือเครื่องใช้ทันสมัยครบครันก็ยังมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากพิษของยาตัวนี้ปีละไม่น้อย

     คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยาในกลุ่มนี้ต่างกันเล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญที่จะต้องทราบคือ
ยาดิจ๊อกซิน (Digoxin) ดูดซึมได้ดีจากทางเดินอาหาร แต่การดูดซึมอาจแตกต่างกันได้ในผู้ป่วยแต่ละราย ยาถูกขับถ่ายออกทางไตในสภาพที่ยังออกฤทธิ์ได้เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นในผู้ป่วยโรคไต และในเด็กหรือคนแก่ จะต้องลดขนาดยาลง
     ยาดิจิต๊อกซิน (Digitoxin) ดูดซึมได้ดีมาก ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ยาดิจิติ๊อกซินจะถูกทำลายโดยตับเป็นส่วนใหญ่และจะถูกขับถ่ายออกทางไตในสภาพหมดฤทธิ์แล้ว ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตจึงไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนขนาดยาเหมือนติจ๊อกซิน นอกจากนี้ยายังอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานานกว่าดิจ๊อกซินมากกล่าวคือ ถ้าให้ยาเพียงครั้งเดียว ระดับยาดิจิต๊อกซินจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่งของระดับเดิมในเวลา 5-7 วัน ส่วนดิจ๊อกซินในเวลา 36 ชั่วโมง ซึ่งคุณสมบัติอันนี้ทำให้การใช้ยา ดิจ๊อกซิน แตกต่างจากดิจิต๊อกซิน ในแง่ของขนาดและวิธีใช้
     ส่วนลานาโตไซด์ (Lanatoxide) มีการดูดซึมจากกระเพาะสำไส้ไม่ดีฤทธิ์จะไวและสั้นกว่าดิจ๊อกซิน (Digoxin) จึงไม่เหมาะสำหรับใช้กิน ปกติมักจะใช้ในรูปของยาฉีด เพื่อหวังผลการออกฤทธิ์ที่เร็ว

ฤทธิ์และอาการที่ไม่พึงประสงค์
     ยานี้จัดได้ว่าเป็นยาที่มีพิษมากที่สุดตัวหนึ่งในบรรดายาที่ใช้รักษากันทั่วๆ ไป อาการพิษจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับยานี้เกินขนาด ซึ่งพิษที่ร้ายแรงที่สุดและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้คือพิษต่อหัวใจ เพราะยานี้ในขนาดสูงจะมีผลทำให้หัวใจเต้นผิดปกติและทำงานอ่อนลง ปัญหาที่เป็นเรื่องสำคัญในอาการพิษแบบนี้คือ บางครั้งจะวินิจฉัยไม่ได้โดยแน่นอนว่าอาการของผู้ป่วยที่หนักลงนั้นเป็นเพราะยาที่ให้ไม่เพียงพอ หรือยาที่ให้มากเกินไป แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เกิดพิษจากยานี้จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หอบเหนื่อยมากขึ้น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เบื่ออาหาร หรือตาเห็นสีขาวจ้าเป็นสีอื่น และชีพจรอาจจะเต้นช้าลงอย่างมาก ดังนั้น ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หอบเหนื่อยมากขึ้น ชีพจรเต้นช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที หรือเต้นผิดจังหวะ หรือตาเห็นสีขาวจ้าเป็นสีอื่น ก็ให้หยุดยาทันที อาการพิษมักจะเกิดขึ้นได้ง่าย ในภาวะที่มีโปตัสเซี่ยมในเลือดต่ำ ดังนั้นจึงควรแนะนำให้ผู้ป่วยกินส้ม กินกล้วยให้มากๆ และในกรณีที่ได้ยาขับปัสสาวะที่ทำให้ร่างกายเสีย โปตัสเซียม ควรให้ยาโปตัสเซียมร่วมด้วย

รูปของยา
ดิจ๊อกซิน (Digoxin) ชื่อการค้าเช่น ลาน๊อกซิน (Lanoxin) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.25 มิลลิกรัม (มีเม็ดขนาดเล็กกว่านี้ด้วย) ชนิดน้ำ 0.05 มิลลิกรัม/1มิลลิลิตร และยาฉีด 0.5 มิลลิกรัม/2 มิลลิลิตร
ดิจิต๊อกซิน (Digitoxin) ชื่อการค้าเช่น คริสโตดิจิน (Crystodigin) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.1 มิลลิกรัม
ลานาโตไซด์ (Lanatoxide) ชื่อการค้าเช่น เซดิแลนิด (Cedilanid) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.25 มิลลิกรัม (ไม่ควรใช้) และชนิดฉีด 0.8 มิลลิกรัม/2 มิลลิลิตร

ขนาดและวิธีใช้
ในคนที่มีภาวะหัวใจล้ม หรือหัวใจวาย ส่วนใหญ่จะใช้ยาดิจ๊อกซิน ประมาณวันละ 1 เม็ดเป็นประจำ จะกินตอนไหนก็ได้ การใช้ยาประเภทนี้จะต้องระวังเรื่องพิษจากยาเสมอ เพราะคนบางคนอาจจะกินยาวันละ 1 เม็ดได้ บางคนกินเพียงวันละครึ่งเม็ดก็เกิดพิษแล้ว แต่บางคนก็ต้องกินถึงวันละ 2 เม็ด จึงจะคุมอาการทางหัวใจได้ ในกรณีที่ต้องกินวันละ 2 เม็ด ควรให้กินหลังอาหารเช้า และกลางวัน
ข้อควรระวัง
ถ้าใช้ร่วมกับยาขับปัสสาวะจะต้องกินส้ม และหรือกล้วยวันละหลายๆ ผล และอาจต้องกินยาโปตัสเซี่ยมร่วมด้วย

2. กลุ่มที่มีอาการใจเต้น ใจสั่น
     คนไข้ส่วนใหญ่ ที่มีอาการใจเต้นใจสั่นมักจะไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แต่เป็นภาวะใจเต้นใจสั่นตามปกติ นั่นคือ คนปกติทุกคน เวลาออกกำลังหนักๆ เวลาโกรธ ตื่นเต้น ตกใจ กลัว หรือมีอารมณ์รุนแรง หัวใจจะเต้นเร็ว และ/ หรือแรง จนอาจจะรู้สึกได้อย่างสบาย ถ้าหัวใจของคนใดไม่เต้นเร็วหรือแรงในสภาวะดังกล่าว หัวใจของคนๆ นั้นก็น่าจะผิดปกติ
     ดังนั้นเวลารู้สึกใจเต้นใจสั่น ให้ดูเสียก่อนว่า เกิดสภาวะดังกล่าวนำมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งบางครั้งก็อาจลืมไป เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธ ตกใจ ตื่นเต้น ฯลฯ ได้ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว แต่ยังฝังลึกอยู่ในจิตใจ พอนั่งหรือนอนอยู่ว่างๆ มันก็หวนกลับขึ้นมาและทำให้ใจเต้นใจสั่นได้
คนที่หัวใจเต้นผิดปกติเพราะโรคหัวใจ ส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกว่า หัวใจของตนเต้นผิดปกติ ดังนั้นคนที่รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นผิดปกติ ส่วนใหญ่มักจะมีหัวใจปกติ
เนื่องจากการวินิจฉัยชนิดของหัวใจเต้นผิดปกติ ให้แน่นอนทำได้ลำบาก และอาจจะต้องอาศัยเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อี.ซี.จี.) ด้วย นอกจากนี้ กลไกที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติก็ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันชัดเจน จึงขอพูดถึงความผิดปกติที่พบได้บ่อย และวิธีรักษาโดยสังเขปเท่านั้น ส่วนรายละเอียดเรื่องยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดปกตินั้นไม่ขอกล่าวไว้ในที่นี้ เพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
ในแง่ของการรักษานั้นแม้ว่าหัวใจของผู้ป่วยจะเต้นผิดปกติ แต่ถ้าผู้ป่ วยไม่มีอาการที่เนื่องมาจากหัวใจเต้นผิดปกตินั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องให้ยารักษาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติทุกตัวมีพิษมาก อาจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายหรือล้ม หรือทำให้หัวใจเต้นผิดปกติมากขึ้นได้

การที่จะรู้ว่าหัวใจเต้นผิดปกติจริงหรือไม่ ให้ลองจับชีพจรดูก่อน เช่น
ก. ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ก็แสดงว่าหัวใจเต้นผิดปกติ แต่อาจจะเป็นโรคหัวใจหรือไม่ก็ได้ เพราะคนปกติบางคนก็มีหัวใจที่เต้นไม่สม่ำ
เสมอได้ เช่น
     2.1 หัวใจเต้นช้าบ้างเร็วบ้างตามการหายใจ โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าออกยาวๆ นับว่าเป็นสิ่งปกติ ไม่ต้องรักษา

     2.2 หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติเป็นบางตุ้บ ทำให้รู้สึกว่าชีพจรมาเร็วกว่าปกติ หรือหายวาบไปเป็นบางตุ้บ ถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการหอบเหนื่อย บวม หรือเจ็บหน้าอก ไม่ต้องรักษา หรือถ้าจะรักษาก็ใช้ยากล่อมประสาท เช่น ยาไดอะซีแพม ก็เพียงพอแล้ว ถ้าผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย บวม หรือ เจ็บหน้าอก ก็ให้รักษาสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้เกิดอาการเช่นนั้น และอาจใช้ยาบางอย่าง เช่น ซัยโลเคน (Xy- locaine) ควินนีดีน (Ouinidine) นอร์เพส (Norpace) แต่ก่อนจะใช้ยาพวกนี้ ควรจะแน่ใจว่าผู้ป่วยมีหัวใจเต้นผิดปกติจนทำให้เกิดอาการซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มิฉะนั้นยาเหล่านี้จะเป็นพิษต่อหัวใจ ถ้าไม่แน่ใจอย่าใช้ดีกว่า

     2.3 หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอโดยตลอด นั่นคือ ถ้าจับชีพจร หรือฟังเสียงหัวใจ จะพบว่า ชีพจร และเสียงหัวใจจะถี่บ้าง ห่างบ้าง แรงบ้าง ค่อยบ้าง ไม่สมํ่าเสมอกันแม้แต่ตัวที่เต้นมาติดๆ กัน ลักษณะหัวใจเต้นผิดปกติแบบนี้เกือบทั้งหมดจะพบในคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่ ไม่ว่าโรคหัวใจนั้นจะเกิดขึ้นที่หัวใจโดยตรง หรือสืบเนื่องมาจากโรคอื่น
ในกรณีนี้ ถ้าหัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที ควรจะให้ยาดิจ๊อกซิน (Digoxin) วันละ1-2 เม็ด จนหัวใจเต้นช้ากว่า 100 ครั้งต่อนาที แล้วจึงลดลงเหลือ วันละ ½-1 เม็ด หรือเพียงพอที่จะคุมให้หัวใจเต้นอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที โดยไม่เกิดพิษจากยา
ไม่จำเป็นต้องรักษาถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการอะไรเลย และชีพจรที่เต้นไม่สม่ำเสมอนั้นเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญและหัวใจเต้นช้ากว่า 100 ครั้งต่อนาที (ต้องใช้เสียงหัวใจเต้น ไม่ใช้ชีพจร เพราะในกรณีนี้ หัวใจอาจจะเต้นมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที แต่คลำชีพจรได้ต่ำกว่า 100 ครั้งต่อนาที)
ข. ชีพจรเต้นสม่ำเสมอ ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที ก็ถือว่าหัวใจเต้นปกติ

     2.4 แต่ถ้าชีพจรเต้นสม่ำเสมอแต่ช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที ก็เรียกกันว่า หัวใจเต้นช้า (คนที่มีรูปร่างใหญ่ เช่น นักกีฬา หัวใจมักจะเต้นช้า อาจะช้าลงถึง 40 ครั้งต่อนาที) การที่หัวใจเต้นช้าจึงไม่ใช่สิ่งผิดปกติ นอกจากจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือหมดสติด้วย จึงจะถือว่าผิดปกติ ที่จำเป็นต้องรักษา การใช้ยาในกรณีที่หัวใจเต้นช้า ไม่ว่าจะเต้นสม่ำเสมอหรือไม่สม่ำเสมอ และเกิดมีอาการ ก็คือการใช้ยาที่จะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น เช่น
1. อีฟีดรีน (Ephedrine) ที่ใช้แก้อาการหอบหืดจะช่วยกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วได้ อย่างกินมีขนาดเม็ดละ 30 มิลลิกรัม และ 60 มิลลิกรัม กินครั้งละ 1 เม็ด ทุก 3-6 ชั่วโมง จนหัวใจเต้นเร็วพอที่จะไม่มีอาการหน้ามืด เป็นลม อ่อนเพลีย แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดอาการใจสั่น ปวดศีรษะ หรือนอนไม่หลับ
2. ทิงเจอร์เบลลาดอนนา (Tincture of Bella- donna) ที่ใช้แก้อาการท้องเดิน ปวดท้อง จะช่วยกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วได้ ใช้กินครั้งละ 10-30 หยด 1-2 มิลลิลิตร) ทุก 3-6 ชั่วโมง จนหัวใจเต้นเร็ว พอที่จะไม่มีอาการหน้ามืดเป็นลม อ่อนเพลีย แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดอาการท้องอืด ท้องผูก ปัสสาวะไม่ออก หรือใจสั่น (ยานี้ขององค์การเภสัชกรรม ขวดหนึ่งมี 450 มิลลิลิตร)
3. ไอโสโปรเตอรีนอล    (Isoproterenol) จะใช้แก้อาการหอบหืด หรือใช้กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วก็ได้ เเบบอมใต้ลิ้น มีขายในชื่อการค้าว่า ไอสูเพร็ล กลอสเส็ท (Isuprel glosset) หรือ ไอสูเพร็ล สับลิงกลอล  (Isuprel sublingual) เม็ดละ 10 มิลลิกรัม หรือจะใช้แบบพ่นแก้อาการหอบหืด มาพ่นเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นก็ได้
4. อะดรีนาลีน (Adrenalin) จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ต้องใช้ฉีดประมาณ 0.3 มิลลิลิตร เข้าใต้ผิวหนัง เช่นเดียวกับการฉีดแก้อาการหอบหืด
5. อะโทรปีน (Atropine) จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องใช้ฉีด และผลไม่แน่นอนเท่าแอดรีนาลีน หรือ อีฟิดรีน อย่างฉีด

     2.5 ถ้าชีพจรเต้นสม่ำเสมอแต่เร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที ก็เรียกกันว่า หัวใจเต้นเร็ว (คนที่มีรูปร่างเล็ก เช่น เด็ก ยิ่งเล็ก (เป็นทารก) หัวใจยิ่งเต้นเร็ว อาจจะเต้นถึงนาทีละ 110-120 ครั้ง ในภาวะปกติ) นอกจากนั้นคนที่ออกกำลัง หรือตื่นเต้น โกรธ กลัว ตกใจ หรือมีอารมณ์รุนแรงอื่นๆ ก็จะมีหัวใจเต้นเร็วได้ซึ่งถือว่าเป็นปกติ ภาวะหัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที จะถือว่าผิดปกติ เมื่อมันเป็นเช่นนั้น ตลอดเวลาแม้แต่ในขณะหลับ หรือเมื่อมันทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อย บวม หรือไม่สบาย ซึ่งในกรณีเช่นนี้จึงจะต้องทำการรักษา คือ
หัวใจเต้นระหว่าง 100-160 ครั้งต่อนาที อัตราเต้นของหัวใจจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น นาทีนี้จับชีพจรได้ 140 ครั้งต่อนาที อีก 2-3 นาที จับชีพจรใหม่ได้ 120 ครั้งต่อนาที หรือชีพจรในท่านั่ง ท่านอน และท่ายืน จะต่างกัน เป็นต้น เวลาที่คนไข้ มีอาการใจเต้นใจสั่น อาการใจเต้นใจสั่นจะค่อยๆ เป็นมากขึ้น หรือค่อยๆ หาย ลักษณะการเต้นของหัวใจแบบนี้ เรียกว่า หัวใจเต้นเร็วแบบธรรมดา (sinus tachycardia) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเคร่งเครียด กังวล การออกกำลัง และอารมณ์รุนแรงต่างๆ ส่วนน้อยเกิดจากการมีไข้สูง ภาวะคอพอกเป็นพิษ ภาวะหัวใจทำงานเพิ่มขึ้นและอื่นๆ
การรักษา
1. ให้พักกายและใจ เช่น นั่งพัก สงบสติอารมณ์ หายใจเข้าออกยาวๆ และเพ่งจิตไปที่การหายใจ คือ หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกก็ให้รู้ว่าหายใจออก หรือเวลาหายใจเข้าให้นับ 1 ถึง 10 เป็นต้น
2. ให้ยากล่อมประสาท เช่น ไดอะซีแพม
3. หาสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและแก้สาเหตุเสีย
4. การใช้ยาหัวใจในกรณีเช่นนี้ จะมีอันตรายได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าหัวใจไม่ได้เต้นเร็วจากโรคหัวใจ

การป้องกัน
1. ให้บริหารกายและจิตเป็นประจำ
2. ให้รักษาสาเหตุถ้ารักษาได้
หัวใจเต้นมากกว่า 160 ครั้งต่อนาที และไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เช่น นาทีนี้จับชีพจรได้ 180 ครั้งต่อนาที อีก 2-3 นาที ก็จับชีพจรได้เท่าเดิม จะนอน นั่ง ยืน ก็จับชีพจรได้เท่ากัน เวลาเป็นจะเป็นทันที เวลาหายก็หายทันที ไม่ค่อยๆ เป็นมากขึ้น และไม่ค่อยๆ หาย ลักษณะการเต้นของหัวใจแบบนี้ เรียกว่า หัวใจห้องบนเต้นเร็วเป็นพักๆ (paro¬xysmal atrial tachycardia) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดเพราะคนบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น แล้วไปประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่น ทำงานหนักเกินไป อดหลับอดนอน เคร่งเครียด สูบบุหรี่จัด ดื่มสุรา ชา กาแฟ เป็นต้น จึงเกิดอาการ “หัวใจห้องบนเต้นเร็ว” ขึ้น

การรักษา
1. ให้นั่งพัก
2. กลั้นหายใจแล้วเบ่ง โดยสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด กลั้นหายใจ แล้วเบ่งเหมือนกับเวลาเบ่งอุจจาระ เมื่อท้องผูก จะต้องเบ่งจนหน้าแดงและจนเบ่งต่อไปไม่ไหว แล้วจึงจะหายใจออกและหายใจเข้าใหม่ได้ ถ้าทำครั้งแรกไม่ได้ผล ให้ลองทำซ้ำใหม่อีก 2-3 ครั้ง อาจจะทำให้หัวใจกลับเต้นเป็นปกติได้
3. จุ่มศีรษะลงในอ่างน้ำแช่น้ำแข็ง แล้วกลั้นหายใจให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติได้
4. การใช้ยา ส่วนมากยาที่ใช้ที่จะหยุดภาวะหัวใจห้องบนเต้นเร็วนี้ มักจะต้องเป็นยาฉีด เช่น ไอซ๊อบติน (Isoptin) ดิจ๊อกซิน (Digoxin)

วาซ๊อกซิล (Vasoxyl) ซึ่งการใช้จะต้องระวังมาก
การป้องกัน
คนที่ชอบเป็นภาวะนี้จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงชนวนต่างๆ ที่จะทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้น เช่น การอดหลับอดนอน การออกกำลังมากเกินไป การดื่มสุรา ชา กาแฟ การสูบบุหรี่ การเคร่งเครียด กังวล หรือมีอารมณ์รุนแรงเกินไป เป็นต้น

3. กลุ่มที่มีอาการเจ็บหรือแน่นในอก
     เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือจากเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ แต่อาการเจ็บแน่นในหน้าอกในคนทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการเจ็บหัวใจ แต่เป็นการเจ็บที่ผนังอก การแน่นท้อง
การแน่นอกจากการเรอเปรี้ยว การเจ็บในปอดหรือช่องปอด หรืออื่นๆ
อาการเจ็บที่กล้ามเนื้อหัวใจ จะมีลักษณะ
1. เจ็บตรงกลางหน้าอก ตรงหน้าอกส่วนล่าง หรือทางด้านซ้ายต่อหน้าอกส่วนล่าง อาจจะเจ็บหรือแน่นไปที่คอ ไหล่ แขน และหลังได้
2. เจ็บเวลาออกกำลัง หรือ หลังจากออกกำลัง เช่น ยกของหนัก ขุดดิน เบ่งอุจจาระ กินข้าว โดยเฉพาะถ้ากินอิ่มจนเกินไป อาบน้ำโดยเฉพาะถ้าอาบน้ำเย็นจัด หรือถูตัวแรงเกินไป เป็นต้น
3. เจ็บเวลาเครียดมาก เช่น เวลาโกรธ ตื่นเต้น ตกใจ ห่วงกังวล รีบร้อน สูบบุหรี่จัด กินของเย็นจัด เป็นต้น
4. ลักษณะของอาการเจ็บ อาจจะเป็นแบบแน่น แบบมีอะไรมาบีบรัดมากดทับ หรืออาจจะรู้สึกเจ็บแสบ ปวด จุก หรือมีลักษณะแบบแน่นจนหายใจไม่ออก หรือจุกแน่นในคอ หรือปวดเมื่อยมาที่ไหล่ที่แขน จนยกแขนไม่ขึ้น หรือใช้แขนไม่สะดวกก็ได้
5. ถ้าเป็นน้อย จะเจ็บอยู่ประมาณ 1- 2 นาทีก็หาย ถ้าเป็นมากอาจจะเจ็บอยู่เป็นชั่วโมงร่วมด้วยอาการซีด มือเท้าเย็น เหงื่อออกท่วมตัว หอบเหนื่อย หรือหมดสติได้
6. อาการมักจะดีขึ้นเมื่อนั่งพัก หรือเมื่ออมยาไนโตรกลีเซอรีนไว้ใต้ลิ้น แต่ถ้าเป็นมาก อาจจะต้องฉีดยาแก้ปวดพวกมอร์ฟีน จึงจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อ่านลักษณะอาการเหล่านี้บ่อยๆ จนจำได้ อาจเกิดอุปาทานคิดไปว่า ตนเองกำลังเจ็บหัวใจ และมีลักษณะอาการเจ็บเหมือนอาการเจ็บหัวใจทุกประการทั้งที่อาการเจ็บหน้าอกของตนนั้นไม่ได้เกิดจากหัวใจเลย
อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่น่าจะใช่อาการเจ็บที่กล้ามเนื้อหัวใจ เช่น อาการเจ็บแน่นในหน้าอกด้านขวาอาการเจ็บจี๊ดๆ แปล๊บๆ เหมือนถูกเข็มแทง อาการเจ็บที่ต้องกลั้นหายใจหรือหายใจเบาๆ อาการเจ็บคงอยู่เป็นชั่วโมงหรือเป็นวันโดยไม่เกิดอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น เช่น หอบเหนื่อยบวม มือเท้าเย็น เหงื่อแตกท่วมตัว เป็นต้น อาการเจ็บหน้าอกที่เอามือกดหรือแตะบริเวณนั้นแล้วเจ็บมากขึ้น อาการเจ็บหน้าอกที่เอามือกดหรือนวดบริเวณนั้นแล้วอาการเจ็บหายไป อาการเจ็บหน้าอกที่ในขณะเจ็บก็ยังทำการทำงานได้ตามปกติ เป็นต้น

ยารักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอาจแบ่งออกได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ
     1. ยาพวกไนไตรท์ (Nitrites) และไนเตรท (Ni¬nes) ที่ใช้บ่อยได้แก่ ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) ไอโสซอร์ไบด์ (Isosorbide) ชื่อการค้าเช่น ไอซอร์ดิล (Isordil) ยาเพนตะอิริไทรตอล (Pentaerythritol) ชื่อการค้าเช่น เพอริเตรท (Peritrate)

     2. ยาปิดกั้นเบต้า (Beta-adrenergic blocker)
ยาไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin)
ยาตัวนี้มีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อเรียบทั่วร่างกายหย่อนตัว หลอดเลือดก็มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อเรียบจึงขยายตัวหลอดเลือดหัวใจ (coronary blood vessels) ก็ขยายตัวเช่นเดียวกัน แต่ผลที่นำไปใช้รักษาภาวะหัวใจขาดเลือดคือ ยานี้จะไปลดการใช้พลังงานของหัวใจ ทำให้หัวใจต้องการอ๊อกซิเจน (เลือดไปเลี้ยง) น้อยลง อาการเจ็บหน้าอกซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจึงหายไปได้
ยาตัวนี้ถูกดูดซึมได้เร็วถ้าให้อมไว้ใต้ลิ้น การดูดซึมจากทางเดินอาหารก็รวดเร็ว แต่เนื่องจากตับจะทำลายยาให้หมดฤทธิ์ไปอย่างรวดเร็วทันทีที่ยาดูดซึมจากทางเดินอาหาร จึงห้ามใช้กิน ให้ใช้อมไว้ใต้ลิ้นเสมอ

ฤทธิ์และอาการที่ไม่พึงประสงค์
     อาการที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ มักจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากฤทธิ์ของยาต่อระบบไหลเวียนเลือด เช่น อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ความดันเลือดตํ่า (ความดันเลือดอาจตํ่าลงอย่างรวดเร็วเวลาเปลี่ยนอิริยาบท (postural hypotension) ทำให้หน้ามืดเป็นลมเวลาเปลี่ยนอิริยาบทจากนอนเป็นยืนได้) นอกจากนี้ยังมีอาการที่เกิดจากแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน ลิ้นเป็นแผล (ตรงบริเวณที่อมยา)
รูปของยา
ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) ชนิดเม็ดๆ ละ 0.6 มิลลิกรัม ชนิดขี้ผึ้งไนตรอล (ointment Ni- trol) ประกอบด้วยไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin) 2%
ขนาดและวิธีใช้
ในขณะที่เจ็บหน้าอกให้นั่งพัก แล้วอมยาไนโตรกลีเซอรีนไว้ใต้ลิ้นสัก 1 เม็ด เมื่อยาละลายจะรู้สึกเผ็ดใต้ลิ้น ร้อนที่หน้า หรือปวดหัว มึนหัวเล็ก น้อย และอาการเจ็บหน้าอกจะหายไป ถ้าไม่ดีขึ้น อาจอมซ้ำอีก 1-2 เม็ด ถ้ายังไม่ดีขึ้นอีกผู้ป่วยควรจะได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล และระหว่างส่งต่ออาจให้มอร์ฟีน (Morphine) ขนาด 1/6 เกรน (gr 1/6  ) เข้ากล้ามได้

ไอซอร์ดิลและเพอริเตรท
พวกยาขยายหลอดเลือด เช่น ไอซอร์ดิล (Isor¬dil) และเพอร์ริเตรท (Peritrate) ความจริงก็เป็นสารประเภทที่คล้ายคลึงกับไนโตรกลีเซอรีน แต่อยู่ในรูปของเกลือ (organic nitrates) เพื่อให้ใช้กินทางปากได้ และมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ยาวนานขึ้น โดยทั่วไปจะใช้ยาเหล่านี้ในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกบ่อยๆ ในแง่สำหรับเป็นการป้องกันอาการ แต่ผลในการรักษาไม่แน่นอน อาจได้ผลดีในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น
ฤทธิ์และอาการที่ไม่พึงประสงค์
คล้ายคลึงกับยาไนโตรกลีเซอรีน
รูปของยา
ไอโซซอร์ไบด์ ไดไนเตรท (Isosorbide dini¬trate) ชื่อการค้าเช่น ไอซอดิล (Isordil) ชนิดเม็ดๆ ละ 10 มิลลิกรัม ยาเม็ดอมใต้ลิ้น 5 มิลลิกรัม
ขนาดและวิธีใช้
ยาเม็ดใช้กิน ขนาด 5-30 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน
ยาอมใต้ลิ้น 1-2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง
หมายเหตุ
ในรูปที่ออกฤทธิ์ยาวนานไม่แนะนำให้ใช้เพราะผลการดูดซึมไม่แน่นอนและอาจมีพิษได้ง่ายกว่าในรูปอื่น

เพนตาอีริไทรตอล เตตราไนเตรท (Pentaerythritol tetranitrate)
ชื่อการค้า เช่น เพอริเตรท (Peritrate) เม็ด 10 มิลลิกรัม
ขนาดและวิธีใช้
ใช้ 1-2 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
หมายเหตุ
ในรูปของยาที่ออกฤทธิ์ยาวนานไม่แนะนำให้ใช้
ยาปิดกั้นเบต้า (Beta-adrenergic Blocker)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกบ่อยๆ อาจใช้ยาปิดกั้นเบต้าช่วยลดการทำงานของหัวใจให้น้อยลง ซึ่งผลที่ได้ตามมาคือ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกน้อยครั้งลง ยานี้ไม่ควรใช้สำหรับรักษาอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ในแง่สำหรับป้องกันเท่านั้น
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงจากสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
2. ถ้าเป็นโรคนี้แล้ว ให้ยาไนโตรกลีเซอรีนติดตัวไว้เสมอและให้อมยานี้ทันทีเมื่อมีอาการ

4. กลุ่มที่มีอาการหน้ามืดเป็นลมหรือหมดสติ
     ซึ่งอาจเกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ หรือเกิดจากโรคหัวใจที่มีการอุดกั้นทางเดินของเลือดห้องหัวใจ หรือในหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจ แต่อาการหน้ามืดเป็นลม หรือหมดสติส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากหัวใจ แต่เกิดจากความอ่อนแอ ความอ่อนเพลีย การอดหลับอดนอน การอดอาหาร การเคร่งเครียดกังวล โรคประสาท โรคลมชัก และอื่นๆ
     การจะรู้ว่าภาวะเป็นลม หน้ามืด หมดสติ เกิดจากหัวใจได้จะต้องตรวจพบว่าหัวใจเต้นผิดปกติ หรือมีภาวะหัวใจโต หรือเสียงหัวใจผิดปกติหรือมือเท้าริมฝีปากเขียวคล้ำในขณะเป็นลมหมดสติ
ถ้าพบเช่นนั้น ควรจะแนะนำให้ไปหาหมอจะดีกว่า ถ้าไปไม่ได้จริงๆ และเกิดอาการจากหัวใจเต้นผิดปกติ ก็ให้การรักษาแบบหัวใจเต้นผิดปกติ
ถ้าเกิดอาการจากหัวใจ หรือเสียงหัวใจผิดปกติ หรือมือเท้าริมฝีปากเขียวคล้ำ ควรจะให้อ็อกซิเจน และให้พัก (นั่งยองๆ นั่งพัก หรือนอนพัก แล้วแต่ว่าคนไข้จะสบายในท่าไหน) และให้ไปหาหมอเมื่อดีขึ้นแล้ว เพราะการใช้ยาในกรณีนี้จะต้องวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไรให้แน่นอนก่อน จึงจะใช้ยาได้ถูกต้อง และไม่เป็นอันตรายจากยาได้

5 กลุ่มที่มีอาการผสมผเสกัน อาจมีอาการของกลุ่มที่ 1 กับกลุ่มที่ 2 หรือกลุ่มที่ 1 กับกลุ่มที่ 3 หรือตั้งแต่ 1 ถึง 4 เลยก็ได้
การรักษา
ถ้ามีอาการของกลุ่มใด ให้รักษาอาการของกลุ่มนั้น

การป้องกัน
ถ้ามีอาการของกลุ่มใด ให้ป้องกันตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการของกลุ่มนั้น
หมายเหตุ
มียาหัวใจบางอย่างที่นิยมใช้ในหมู่หมอชาวบ้านที่ชอบฉีดยา ยาเหล่านี้ไม่ค่อยได้ประโยชน์ และอาจมีอันตรายได้ เช่น ยาโครามีน (Coramine), ยาโครามีน-อะดีโนซีน (Coramine-Adenosine), ยาโครามีน-อีฟีดีน (Coramine-Ephedrine), ยาโครามีน-คาฟเฟอีน (Coramine-Caffeine), ยาคาร์นิเก็น (Car- nigen), ยาคอร์เตนซอร์ (Cortensor), ยาคอมพลามิน (Complamin)
ยาเหล่านี้มักจะถูกใช้รักษาคนไข้ที่ชอบมีอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความอ่อนแอทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะความอ่อนเเอหรือความเครียดทางจิตใจ แต่คนไข้กลับถูกบอกให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจ (เช่น โรคหัวใจอ่อน โรคประสาทหัวใจ เป็นต้น) หรือ เป็นโรคความดันต่ำ (ทั้งที่ไม่มีโรคนี้อยู่ในโลก)
ความเข้าใจผิดหรือความเชื่อผิดๆ จึงทำให้มีการนำยาหัวใจพวกนี้ไปใช้กับคนไข้เหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่คนไข้โรคหัวใจเลย แต่เป็น “โรคเครียด” หรือ “โรคประสาท” หรือ “โรคอ่อนแอ” มากกว่า ซึ่งควรจะให้บริหารกายและใจ และถ้าจะใช้ยา ก็ควรจะใช้พวกยากล่อมประสาท หรือ ยาบำรุงร่างกาย (ไม่ควรใช้ยาหัวใจเป็นอันขาด)

ที่มา:รองศาสตราจารย์นายแพทย์สันต์  หัตถีรัตน์
นายแพทย์กำพล  ศรีวัฒนกุล


หากบทความนี้มีประโยชน์ 
รบกวนกดไลท์ กดแชร์ ด้วยครับ
และ
ถ้าไม่อยากทานยา หรือ อยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ติดต่อ
ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus
#Chlorophyll_Plus

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

มาทำความรู้จัก 8 ฮอร์โมนสำคัญในร่างกาย

 รู้ไหมว่า  ฮอร์โมน มีความสำคัญอย่างไร และมหัศจรรย์ขนาดไหน 
Smiley เทสโทสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)

 ฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดของเพศชาย จะไปกระตุ้นให้แสดงลักษณะความเป็นเพศชายออกมา ทำให้ผู้ชายมีรูปร่างลักษณะ อารมณ์ นิสัย ฯลฯ ที่แตกต่างไปจากสาว ๆ ไม่ว่าจะเป็น...
Smiley การมีเสียงทุ้มใหญ่ มีหนวด มีเครา ขนตามร่างกาย ศีรษะล้าน การสร้างเชื้ออสุจิ ลักษณะกล้ามเนื้อ และกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรงSmiley ทำให้ผู้ชายมีนิสัยชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ รักสนุก ชอบความท้าทาย ในบางช่วงฮอร์โมนนี้ก็ยังทำให้ผู้ชายรู้สึกเครียด วิตกกังวล หดหู่ได้มากกว่าปกติเช่นกันSmiley ทำให้สนใจเพศตรงข้ามมากขึ้น คิดถึงเรื่องเพศ มีความต้องการทางเพศ ชอบเรื่องเซ็กส์

ร่างกายบางคนผลิตเทสโทสเตอโรนออกมาสูง บางคนมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ ซึ่งผู้ที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยเกินไป อาจรู้สึกว่าตัวเองมีความต้องการทางเพศลดลง ปริมาณอสุจิมีน้อย อวัยวะเพศชายแข็งตัวไม่สมบูรณ์ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความสมบูรณ์ของร่างกายไป ทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลง และนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่หากมีฮอร์โมนในระดับเหมาะสม จะช่วยให้มีน้ำหนักตัวพอเหมาะ มีมวลกล้ามเนื้อ

ดังนั้น เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คุณหนุ่ม ๆ ควรรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไว้ไม่ให้ต่ำเกินไป ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยมีผลการวิจัยค้นพบว่า การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Strength training) เพื่อเสริมกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ยกน้ำหนัก ยกเวท มีผลทำให้เทสโทสเตอโรนเพิ่มขึ้นได้ด้วย

นอกจากนี้ เรายังสามารถกระตุ้นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีสังกะสีอย่างเพียงพอ คือวันละ 15-25 มิลลิกรัม พบมากในอาหารทะเล ตับ เนื้อวัว ผักสีเขียวเข้ม และผลไม้ เช่น แตงโม เมล็ดทานตะวัน ยิ่งถ้าได้รับวิตามินจำพวกเบต้าแคโรทีน ซึ่งพบมากใ แครอท แคนตาลูป ส้ม มะเขือเทศ มะละกอสุก มะม่วงสุก และฟักทอง จะช่วยเสริมสร้างกันได้ดียิ่งขึ้น

ในเพศหญิงก็มีการสร้างเทสโตสเตอโรนออกมาด้วย แต่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ชายมาก ทำให้ไม่สามารถแสดงลักษณะของเพศชายให้เด่นออกมาได้ ยกเว้นผู้หญิงบางคนที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง ก็อาจจะมีเสียงห้าวกว่าผู้หญิงทั่วไป มีขนดก มีนิสัยห่าม ๆ กล้าหาญ คล้ายผู้ชายได้เหมือนกัน


Smiley เอสโตรเจน...ฮอร์โมนเพศหญิง

ฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาจากรังไข่ แล้วกระจายไปตามกระแสเลือด ส่งต่อไปตามอวัยวะต่าง ๆ จึงส่งผลต่อรูปร่าง นิสัย อารมณ์ของเพศหญิง คือ
Smiley ทำให้มีหน้าอก เต้านมเต่งตึง สะโพกผาย ผิวพรรณเปล่งปลั่งSmiley ช่วยเสริมสร้างเซลล์ให้เจริญเติบโต ซ่อมแซมระบบสืบพันธุ์ รักษาสภาพผนังช่องคลอด ควบคุมเมือกในช่องคลอด เพื่อป้องกันการอักเสบ ทำให้ไข่ในรังไข่เจริญเติบโต ควบคุมการตกไข่ กระตุ้นการหนาตัวของเยื่อบุผนังมดลูกชั้นใน เพื่อรองรับการปฏิสนธิร่วมกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนSmiley ทำให้ผู้หญิงมีอารมณ์อ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย เปลี่ยนแปลงง่าย เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีไม่สม่ำเสมอ ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาตามรอบของประจำเดือน โดยช่วงที่มีเอสโตรเจนสูงจะเป็นช่วงหลังหมดประจำเดือน และระหว่างเตรียมการตกไข่ กินเวลาประมาณ 9-20 วันSmiley เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายจะมีปริมาณน้อยลง หรือมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกหงุดหงิด ร้อนวูบวาบ หมดอารมณ์ทางเพศ หนาวสั่นง่าย และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ผิวแห้งเหี่ยวย่น มีริ้วรอย หน้าอกหย่อนยาน ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ คันช่องคลอด ผมร่วง ฯลฯ

เอสโตรเจนยังช่วยในเรื่องความจำ ควบคุมการสร้างคอเลสเตอรอล เป็นตัวช่วยไม่ให้เกิดเมือกไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยลดภาวะกระดูกพรุน และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ หากมีเอสโตรเจนมากเกินไป ก็จะทำให้ไขมันสะสมได้มากขึ้น ทำให้อ้วนง่าย อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย และเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

ถ้าใครมีเอสโตรเจนต่ำเกินไป ก็จะมีรูปร่างผอม ไร้ทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง ประจำเดือนมาไม่ปกติ ช่องคลอดบางและหย่อนยาน มดลูกฝ่อลีบ เต้านมมีขนาดเล็กลง เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุนได้มาก เพราะสูญเสียแคลเซียมไปทีละน้อย

ในผู้หญิงวัยทองที่มีฮอร์โมนตัวนี้น้อยลงก็ต้องหาวิธีเสริมฮอร์โมนเอสโตรเจน ด้วยการทานอาหารอย่างน้ำมะม่วงสุก, น้ำมะพร้าวอ่อน, กุยช่าย หรือหากมีอาการวัยทองมาก ๆ แพทย์จะสั่งฮอร์โมนเสริมให้


Smiley โปรเจสเตอโรน...ฮอร์โมนเพศหญิง (สำหรับสาวตั้งครรภ์)
 Progesterone ฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญมาก ๆ โดยถูกสร้างขึ้นมาจากรังไข่ และรก ทำงานร่วมกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจนมีหน้าที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นให้เยื่อบุผนังมดลูกชั้นในหนาตัวขึ้น เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์

โปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนยังช่วยกันควบคุมการตั้งครรภ์ในช่วงแรก ๆ เช่น ปรับสภาพเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดการฝังตัวได้ ช่วยสะสมไขมันให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ เพื่อให้มีพลังงาน และสารอาหารเลี้ยงทารก รวมทั้งช่วยทำให้เต้านมขยายใหญ่ขึ้น เพื่อเตรียมผลิตน้ำนมให้ลูกหลังคลอด นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ร่างกายหายใจเร็วขึ้น เพื่อสูดออกซิเจนเข้าปอดมาก ๆ จึงทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์จะรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวดแข้งปวดขา เพราะฮอร์โมนจะไปทำให้กล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อยืดขยายนั่นเอง
แต่หากในช่วงที่ไม่มีการตั้งครรภ์ โปรเจสเตอโรนก็จะไปสลายเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาขึ้น ให้หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนซึ่งระดับฮอร์โมนนี้ จะมีปริมาณสูงสุดประมาณวันที่ 21-23 ของรอบเดือน (หลังตกไข่ 1 สัปดาห์) จะลดลงต่ำสุดประมาณวันที่ 1-9 ของรอบเดือน

ช่วงที่มีโปรเจสเตอโรนสูง ช่วงนั้นจะมีสิวเห่อขึ้น เพราะโปรเจสเตอโรนที่หลั่งเพิ่มขึ้นไปทำให้เกิดการคั่งน้ำในร่างกาย จนทำให้รูขุมขนบวมมากขึ้น อีกทั้งยังหลั่งน้ำมันมาหล่อเลี้ยงผิวมากขึ้นจนเกิดการสะสมอุดตันตามใบหน้า

ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนออกมาไปจนถึงอายุ 50 ปีปลาย ๆ จากนั้น ฮอร์โมนจะเริ่มผลิตน้อยลง เข้าสู่ภาวะวัยทอง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการ เช่น นอนไม่หลับ เหงื่อออกง่าย ผิวแห้งเหี่ยว กระดูกพรุน ร้อนวูบวาบ น้ำหนักขึ้น ฯลฯ มักจะหงุดหงิดง่าย มีปัญหาเรื่องอารมณ์ เกิดความรู้สึกเบื่อ เซ็ง ซึมเศร้า


Smiley โดพามีน...ฮอร์โมนหนึ่งมิตรชิดใกล้

โดพามีน (Dopamine) ผลิตจากกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) ซึ่งสังเคราะห์โดยเนื้อเยื่อประสาทและต่อมหมวกไตเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทไปกระตุ้นโดพามีน รีเซพเตอร์ (Dopamine Receptor) ในระบบประสาทซิมพาเทติค (sympathetic nervous system) ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ โดพามีนยังจัดเป็นนิวโรฮอร์โมน (Neurohormone) ที่หลั่งจากสมองส่วนไฮโปธาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งโปรแลคตินจากกลีบส่วนหน้าของต่อมใต้สมอง (ต่อมพิทูอิทารี) พร้อมกับเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งเป็นพัฒนาการสำคัญของคนกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาว

เมื่อโดพามีนถูกหลั่งออกมาแล้ว จะทำให้เรารู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ยิ่งมีการหลั่งสารนี้มาก คนนั้นก็จะมีความพอใจหรือมีความสุขมากขึ้นตามไปด้วย

มีการจัดให้โดพามีนเป็นสารเคมีแห่งรัก หรือ Chemicals of love ซึ่งมีผู้เคยวิจัยออกมาแล้วว่า โดพามีนนี้มีผลเกี่ยวกับการเลือกคู่หรือจับคู่
หลาย ๆ คนอาจมีการหลั่งสารโดพามีนออกมาน้อยเกินไป หรือเซลล์สมองส่วนที่สร้างโดพามีนตาย พบได้ในผู้สูงอายุ จึงทำให้ผู้สูงอายุบางคนมีอาการทางระบบประสาท คือ โรคพาร์กินสัน มีอาการมือไม้สั่น เกร็ง เคลื่อนไหวช้า เพราะโดพามีนเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

หากมีสารโดพามีนหลั่งออกมามากเกินไป ทำให้เป็นคนคิดเร็ว สมองมีการตอบสนองดี สั่งการเร็ว อาจทำให้เป็นคนหุนหันพลันแล่น ไฮเปอร์ หรือก้าวร้าวได้ และถ้ายิ่งมีมากจนเกินขีด อาจกลายเป็นคนหวาดระแวง บ้าคลั่ง มีอาการป่วยทางจิต เพราะสารนี้จะไปกระทบกับสมองส่วนฟรอนทัลที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ ความจำ จากการทดสอบผู้ป่วยโรคจิตเภทก็พบว่ามีสารโดพามีนในสมองมากกว่าคนปกติ
วิธีรักษาความสมดุลของโดพามีนก็คือ พยายามรับประทานอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง อาหารทะเล อัลมอนด์ เมล็ดธัญพืช กล้วย แอปเปิล เพราะโดพามีนผลิตมาจากกรดอะมิโนไทโรซีนที่มีในโปรตีน จะช่วยให้สมองมีพลัง ตื่นตัว รู้สึกกระฉับกระเฉง 


Smiley เอ็นดอร์ฟิน...ฮอร์โมนหลั่งเมื่อฉันฟิน(Endorphin)
ฮอร์โมนนี้ทำให้เรามีความสุข คลายเครียด เมื่อเรามีความสุขกายสบายใจ สารเอ็นดอร์ฟินจะหลั่งออกมามากขึ้น แล้วเข้าสู่กระแสเลือด จนสามารถไปกดการสร้างฮอร์โมนแห่งความเครียด เช่น นอร์เอพิเนฟริน ทำให้เรารู้สึกหายเครียด และยังเป็นผลให้ระดับภูมิคุ้มกัน (antibody) ในเลือดเพิ่มขึ้นด้วย

เป็นยาระงับปวดตามธรรมชาติ ที่ต่อมใต้สมอง และไฮโปทาลามัสในกระดูกสันหลังสร้างขึ้นมาให้ออกฤทธิ์ไปยับยั้งและบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งการทำงานของเอ็นดอร์ฟินจะคล้าย ๆ กับการทำงานของยามอร์ฟีน (Morphine) ใช้ฉีดระงับความเจ็บปวดให้คนไข้ เอ็นดอร์ฟินยังควบคุมความรู้สึกหิว และเชื่อมโยงกับการผลิตฮอร์โมนเพศด้วย

อยากให้สารเอ็นดอร์ฟินหลั่งมาก ๆ ให้หมั่นออกกำลังกาย และออกไปรับแสงแดดในตอนเช้า จะช่วยกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินได้ อีกวิธีที่ง่ายก็คือ การหัวเราะ เพราะการวิจัยค้นพบว่า การหัวเราะ การยิ้ม การได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่เราพอใจจะช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้นด้วย หากร่างกายมีสารเอ็นดอร์ฟินมาก ๆ เราก็จะมีความสุข ไม่เครียด ระดับความดันโลหิตก็จะเป็นปกติ สุขภาพจิตดีแบบนี้ สุขภาพกายก็แข็งแรงแน่นอน


Smiley คอร์ติซอล...ฮอร์โมนแห่งความเครียด (แถมโรคอ้วน)
Cortisol เป็นฮอร์โมนที่จะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรามีความเครียด แต่คอร์ติซอล ก็ถูกจัดเป็นฮอร์โมนที่จำเป็น (Essential Hormone) ที่มีความสำคัญต่อชีวิต หากขาดไปก็จะส่งผลอย่างมากต่อเซลล์ของร่างกาย 

สำหรับฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้ถูกผลิตจากต่อมหมวกไต และจะถูกสร้างมากขึ้นในตอนเช้า เพื่อช่วยให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง และช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย เพื่อให้เราพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาระหว่างวัน ก่อนที่ระดับของฮอร์โมนจะค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งตกเย็น และนอนหลับไป

แต่หากระหว่างวันเราเกิดความเครียดขึ้นเมื่อใด ร่างกายก็จะยิ่งหลั่งคอร์ติซอลออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อต่อสู้กับความเครียด การที่ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งมากๆจะไปกระตุ้นให้เรารู้สึกโหยหิว อยากทานอาหารที่ให้พลังงานสูงมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นกลไกของร่างกายที่จะชดเชยพลังงานที่คุณสูญเสียไปกับความเครียด ทำให้เรามีเรี่ยวแรงไปต่อสู้กับความเครียด หมายความว่า ยิ่งเครียดมาก คุณก็ยิ่งอ้วนมากขึ้นเท่านั้น อยากทานอาหารไขมันสูง ขนมหวาน ๆ อย่างบอกไม่ถูก

นอกจากนี้ คอร์ติซอล ยังจะหลั่งออกมามากในคนที่อดหลับอดนอนบ่อย ๆ ร่างกายก็จะอ่อนแอ ก็จะเกิดความเครียดขึ้นตามมา มีงานวิจัยชี้ว่า คนที่นอนน้อยมีโอกาสอ้วนมากกว่าคนที่นอนในระดับปกติ คือ 6-8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม คอร์ติซอล ยังทำหน้าที่ลดการอักเสบของร่างกายด้วย

หากระดับคอร์ติซอลสูงมาก ๆ เป็นเวลานาน ปัญหาที่ตามมาคือ การทำงานของสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความจำ ทำให้การทำงานของสมองส่วนนี้ลดลง เซลล์ประสาท แขนงประสาทจะลดลง รวมทั้งไปขัดขวางเซลล์ใหม่ ๆ ที่มีการสร้างขึ้นด้วย

ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดยังจะไปกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคตามมาอีก เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง ฯลฯ ในผู้หญิงอาจมีปัญหาประจำเดือนขาด ไขมันสะสมมากตามใบหน้า หน้าท้อง ต้นขา ส่วนคุณผู้ชาย ก็ต้องระวังสมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลง

เราควรรักษาระดับคอร์ติซอลให้สมดุล ไม่ให้หลั่งออกมามากเกินไป นั่นคือ "กำจัดความเครียด" อาจหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ ไปเที่ยวกับเพื่อน เดินช้อปปิ้ง ฟังเพลง ดูหนังตลก ทำสมาธิอย่างน้อยวันละ 10 นาที นวดคลายเครียด หรือออกกำลังกาย นอกจากจะลดคอร์ติซอลได้แล้ว ยังเพิ่มระดับเอ็นดอร์ฟิน และช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ด้วย  อย่าอดหลับอดนอน และไม่ควรนอนดึกจนเกินไป ดังนั้น อย่าดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ไม่รู้สึกง่วงนอน และเป็นที่มาของอาการนอนไม่หลับ

หากวิธีเหล่านี้ยังไม่ได้ผล ก็ต้องลองหลีกหนีออกจากความเครียดทั้งหลาย หรือจะปรึกษาจิตแพทย์ให้ช่วยให้คำแนะนำ


Smiley อีพีเนฟรีน (อะดรีนาลิน)...ฮอร์โมนหลั่งป้องกันอันตราย

เวลาที่เราโกรธจัด กลัว ตกใจมาก ๆ ตื่นเต้นสุด ๆ ร่างกายของเราจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างขึ้น เช่น หน้าแดง ตัวสั่น มือสั่น หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นแรง มีกำลังวังชามากขึ้น เป็นผลมาจากฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) หรืออีกชื่อว่า อีพีเนฟรีน (Epinephrine)

ฮอร์โมนนี้สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตจะหลั่งออกมาเวลาอยู่ในภาวะตกใจ โกรธ ตื่นเต้น ตกอยู่ในอันตราย เกิดความเครียด เมื่อหลั่งออกมา จะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น คือ
Smiley เปลี่ยนไกลโคเจนในตับให้เป็นกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ทำมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น การเผาผลาญอาหารเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาลSmiley ทำให้แรงดันของโลหิตเพิ่มขึ้นSmiley ทำให้หลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่บริเวณอวัยวะภายในต่าง ๆ ขยายตัว แต่เส้นเลือดขนาดเล็กที่ผิวหนัง และช่องท้องหดตัว และกลูโคสไปให้เซลล์ในร่างกายได้มากขึ้น และเข้าสู่ปอดได้รวดเร็วSmiley กระตุ้นให้หัวใจบีบตัว ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น มีการสูบฉีดโลหิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวมากกว่าปกติ จะได้เตรียมต่อสู้ หรือหนีSmiley กระตุ้นให้หลอดลมขยายตัว เพื่อให้ปอดรับออกซิเจนได้เต็มที่ ทำให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นSmiley รูม่านตาเบิกกว้าง ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น

จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว มีพละกำลังมากขึ้น เพราะเป็นการกระตุ้นให้กลไกของร่างกายทำงานในประสิทธิภาพขั้นสูงสุด จะช่วยเรามีพละกำลังรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และป้องกันตัวได้


ถ้ามีการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินมากเกินไป โดยเฉพาะคนที่เป็นเนื้องอกในต่อมหมวกไตชั้นใน หรือได้รับสารนี้เกินขนาด ย่อมเกิดอันตรายต่อร่างกาย ถ้าแบบไม่รุนแรงจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก น้ำหนักลด แต่น้ำตาลในเลือดสูง ผิวหนังตอบสนองเร็ว แต่ถ้ารุนแรงมาก ๆ ก็มีผลถึงแก่ชีวิต เพราะฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วมากเกินไป จนอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน และยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองแตก แต่หากขาดอะดรีนาลินไปเลย ก็จะทำให้เป็นคนอ่อนแอทั้งทางกายและจิตใจได้เหมือนกัน




Smiley เซโรโทนิน...ฮอร์โมนแห่งความสงบ(Serotonin) 

ใครที่มักมีอารมณ์เหงา เศร้า จนนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนตัวนี้ เซโรโทนินเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่ง สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนจำเป็นที่ชื่อว่า "ทริปโตเฟน" ที่อยู่ในสมอง มีหน้าที่ควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ควบคุมวงจรการนอนหลับ อุณหภูมิกาย ความดันโลหิต การหลั่งฮอร์โมน การรับรู้ความเจ็บปวด ฯลฯ เป็นเหมือนกับระบบเข็มนาฬิกาของสมอง

หากร่างกายมีสารเซโรโทนินอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย สงบ มีความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์มั่นคง ไม่แปรปรวน ตอบสนองต่อความเครียดได้ดี แต่ถ้าอยู่ในภาวะเครียด เซโรโทนินจะลดลง เราจะรู้สึกหงุดหงิด ขาดสมาธิ นอนไม่หลับหากมีอาการเจ็บปวดจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น บางคนถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า หรือภาวะไบโพลาร์ เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้ายได้

ใครที่ชอบเครียดง่าย หงุดหงิดบ่อย นอนไม่หลับ ลองทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง ปลา จะได้รับกรดอะมิโนรวมทั้งทริปโตเฟนไว้ใช้สร้างสารเซโรโทนินด้วย และควรทานสารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช รวมถึงเห็ด ถั่วเขียว หัวเผือก หัวมัน มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวโพด ผักกาดขาว แคนตาลูป ขนมปัง เพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตเฟนให้มากขึ้น

เห็นความมหัศจรรย์ของ 8 ฮอร์โมนเด่น ๆ ในร่างกายแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะได้เกิดความสมดุล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำรงชีวิต


ด้วยความปรารถนาดีจาก 
#โค้ชเกมส์
#ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายด้วยสารอาหารจำเป็นคุณภาพสูง
📞 092-645-4256
📲 LINE : kp156
#เพราะหลอดเลือดคือทั้งหมดของชีวิต 
#ProArgi9Plus

#Chlorophyll_Plus